Category

Skincare

Category

ริ้วรอยรอบดวงตา เกิดขึ้นได้อย่างไร? มีวิธีไหนช่วยลดเลือนได้บ้าง

ริ้วรอยรอบดวงตา เกิดขึ้นได้อย่างไร? มีวิธีไหนช่วยลดเลือนได้บ้าง

ริ้วรอยรอบดวงตา นอกจากเป็นสัญลักษณ์แห่งก้าวผ่านช่วงวัยแล้ว มีหลาย ๆ คนเกิดความไม่มั่นใจเพราะว่าริ้วรอยที่ตานั้นสามารถมองได้ง่ายและชัดเจน อีกทั้งมีความบอบบางสูงดูแลรักษาค่อนข้างละเอียดอ่อน วันนี้เราจะพาทุกท่านมาหาคำตอบ ริ้วรอยรอบดวงตา เกิดขึ้นได้อย่างไร? มีวิธีไหนช่วยลดเลือนได้บ้าง ไปดูกันเลยว่ามีอะไรบ้าง


ริ้วรอยรอบดวงตา เกิดจากอะไร

ริ้วรอยรอบดวงตา

แล้วทำไมริ้วรอยจึงเกิดขึ้นรอบดวงตา คำตอบก็คือ ผิวของเราเกิดความไม่ยืดหยุ่นดังเดิม เป็นเพราะว่าผิวสูญเสียอิลาสตินและคอลลาเจนในผิวถูกทำลายในระหว่างช่วงวัยหรือพฤติกรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น

  • สภาพอากาศ ไม่ว่าจะแดดจ้าร้อนจัดและต้องอยู่ตากแดดนาน ๆ โดยไม่ได้ป้องกันผิวทำให้เกิดความเหี่ยวย่นได้ ฉะนั้นการออกแดดทุกครั้งควรทาครีมกันแดดบริเวณเปลือกตาและสวมแว่นกันแดดเป็นประจำ หรือสภาพอากาศที่หนาวเหน็ยทำให้ผิวขาดคววามชุ่มชื้น อันเป็นบ่อเกิดเหตุแห่งริ้วรอยได้
  • พฤติกรรมประจำวัน เช่นการขยี้ตา นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ การใช้คอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือเป็นเวลานาน
  • การแสดงออกทางสีหน้า เช่น การยิ้ม หัวเราะ ทำให้กล้ามเนื้อบนใบหน้าขยับและยืดหหดบ่อยครั้ง
  • ผิวขาดความชุ่มชื้น ถึงแม้ว่าบริเวณรอบดวงตาจะบอบบางแต่ใช่ว่าจะละเลยการทาครีมบำรุงไปเลย หากเมื่อใดที่ผิวบริเวณรอบดวงตาแห้ง ไม่ชุ่มชื้น ชั้นไขมันที่กักสะสมก็จะน้อยลงไปด้วย
  • อายุที่มากขึ้น นอกจากผิวที่สูญเสียคอลาเจนและอิลาสติน กระดูกใต้ตาของบางคนก็จะยุบตัวลง ทำให้เนื้อบริเวณดวงตาน้อยลง ทำให้ดูมีรอยเหี่ยวย่น
  • การล้างหน้าที่ไม่อ่อนโยน กรณีเกิดขึ้ึนได้ทุกเพศ เพราะถ้าหากการล้างหน้าโดยถูหน้า ดวงตาที่รุนแรงทุกวันทำให้เกิดรอยเหี่ยวย่นได้
  • การสูบบุหรี่ นิโคตินเป็นสาเหตุที่ทำให้ผิวเหี่ยวย่น และการสูบบุหรี่ทำให้เส้นเลือดหดตัวและออกซิเจนไม่สามารถส่งผ่านได้อย่างเต็มที่ ทำให้ผิวขาดอากาศหายใจ และไม่แม้แต่แค่บริเวณรอบดวงตาและเป็นทั้งใบหน้าเลยทีเดียว
  • พันธุกรรมและภูมิแพ้จากสุขภาพส่วนตัว ในบางคนอาจมีพันธุกรรมใต้ตามีริ้วและสีคล้ำมาตั้งแต่กำเนิด หรือสุขภาพส่วนตัวเช่นเปนภูมิแพ้ ทำให้รอบดวงตาบอบช้ำง่าย 

ประเภทของริ้วรอย

ริ้วรอยรอบดวงตา

อีกเรื่องที่น่าสนใจคือ ถึจะเกิดริ้วรอยขึ้น แต่ว่าก็ยังแยกประเภทอีกว่าสามารถรักษาฟื้นฟูให้กลับมาเต่งตึงได้ดังเดิมหรือไม่ ซึ่งประเภทของริ้วรอยแบ่งด้ 2 อย่าง ดังนี้

  1. Dynamic Line

เป็นริ้วรอยที่เกิดจากกล้ามเนื้อใต้ผิวหนังมีการหดตัวซ้ำ ๆ เป็นระยะเวลาที่ต่อเนื่อง การยืดหดตัวเช่นนี้มาจากการแสดงสีหน้า(Expression Wrinkle) ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวบริเวณใบหน้านั่นเอง ซึ่งการเกิดริ้วรอยประเภทนี้มีโอกาสสูงมากที่จะทำให้ริ้วรอยตื้นขึ้นและบางรายแทบจะกลับมาสู่สภพเดิมได้ แม้ใช้การบำรุงรอบดวงตาด้วยวิธีธรรมชาติ ก็คือทำให้บริเวณรอบดวงตาชุ่มชื้นตลอดเวลา ทำให้คอลลาเจนบนผิวคงสมดุลและเต่งตึง

  1. Static Line

เป็นริ้วรอยคงที่ที่เกิดจากผิวหหนังเกิดความเสียหายทำให้ริ้วรอยอยู่คงที่ สาเหตุนั้นมาจากการสูญเสียคอลลาเจน ผิวที่แห้งกร้านขาดการดูแล การแสดงสีหน้าบ่อยครั้งสะสม ซึ่งรอยชนิดนี้แม้ไม่ได้ขยับก็สามารถเห็นริ้วรอยร่องลึกได้อย่างชัดเจน และยังคงอยู่บนใบหน้าตลอด การักษามีสองหนทางคือการฉีดฟิลเลอร์เพื่อเติมเต็มความชุ่มชื้น หรือฉีดไขมันเข้าไปเติมร่องลึกให้อิ่มฟูขึ้นมา


วิธีลดเลือน ริ้วรอยรอบดวงตา

ริ้วรอยรอบดวงตา

1.มาส์กธรรมชาติ

การเลือกใช้มาส์กที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติ หรือมาส์กที่เราสามารถผสมได้เองนั้นก็เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่เราสามารถทำได้เพื่อช่วยในการลดเลือนริ้วรอย ส่วนผสมจากธรรมชาติอย่างแรกที่มีคุณสมบัติที่ดีต่อการบำรุงผิวนั้นก็คือ น้ำผึ้ง ซึ่งมีการใช้กันมาอย่างยาวนานเป็นพัน ๆ ปี เพราะน้ำผึ้งมีฤทธิ์ในการปลอบประโลมผิว และช่วยในการสมานผิวที่อ่อนแอให้กลับมาแข็งแรงยิ่งขึ้น อีกหนึ่งส่วนผสมธรรมชาติก็คือโยเกิร์ต ซึ่งจะช่วยทำให้ผิวนุ่มชุ่มชื่นขึ้นได้ภายในไม่กี่นาที แบะความชุ่มชื้นนี่เองที่จะช่วยป้องกันการเกิดริ้วรอยรอบดวงตาขึ้นได้ 

2. ครีมบำรุง

การเลือกใช้ครีมบำรุงผิวที่มีส่วนผสมที่สามารถช่วยในการบำรุงให้ริ้วรอยรอบดวงตาดูจางลง หรือปกกันไม่ให้มีริ้วรอยใหม่เกิดขึ้นก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่จะสามารถช่วยในเรื่องของริ้วริยได้ในระยะยาว โดยอายครีมที่เลือกใช้นั้นควรมีส่วนผสมที่สามารถช่วยปัญหาริ้วรอยได้โดยเฉพาะ และที่สำคัญคือจะต้องมีส่วนผสมที่ให้ความชุ่มชื้น้พียงพอ เพราะเมื่อผิวของเรามีความชุ่มชื้นเพียงพอนั้นก็จะเปิดความหยืดหยุ่นผิวหนังไม่แห้งตึงจนเกิดเป็นปัญหาริ้วรอย สำหรับส่วนผสมสำคัญที่เราควรมองหาในครีมบำรุงรอบดวงต่นั้นก็เช่น

  • Retinol ช่วยในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว ทำให้เกิดริ้วรอยได้ยากยิ่งขึ้น
  • Q10 ช่วยในการปกป้องผิวจากการถูกทำร้ายจากแสงแดด และชะรอการเกิดริ้วรอย
  • Vitamin C เป็นสารต้านอนุมูลอิสระชั้นดีที่จะช่วยป้องกันการเกิดริ้วรอย
  • Hyaluronic acid เพิ่มความชุ่มชื่นให้กักผิว ช่วยให้ผิวกักเก็บความชื้นได้ดียิ่งขึ้น
  • Vitamin E ช่วยในการปลอบประโลมผิว และบำรุงอย่างล้ำลึก
  • Ceramides ช่วยให้ผิวแข็งแรง เสริมสร้างเกราะให้กับผิว

อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญมาก ๆ ในการเลือกครีมทารอบดวงตานั้นก็คือการเลือกใช้ครีมที่มีความอ่อนโยนเพราะผิวรอบดวงตานั้นมีความบอบบาง และอาจไวต่อสารต่าง ๆ ในครีมได้

3. เทคนิคแพทย์

  • โบท็อกซ์ เป็นอีกหนึ่งวิธีในการลดริ้วรอบรอบดวงตาที่เป็นที่นิยมมาก ๆ สำหรับการฉีดโบท็อกซ์นั้น จะเริ่มเห็นผลของความเปลี่ยนแปลงได้ภายใน 5-7 วัน และจะเห็นผลได้อย่างชัดเจนที่สุดเมื่อครบ 2 สัปดาห์ และจะคงอยู่เช่นนั้นเป็นเวลา 3 – 6 เดือน โดยขึ้นอยู่กัยคุณภาพของโบท็อกซ์ และไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต 
  • เลเซอร์ลดริ้วรอยใต้ตา 
  • รักษาด้วยคลื่นวิทยุ (Radio Frequency – RF) เป็นวิธีที่เหมาะมาก ๆ กับผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยที่เกิดจากการที่ผิวขาดคอลลาเจน คลื่นวิทยุนี้จะเข้าไปกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว และทำให้ผิวกลับมาดูเต่งตึงอีกครั้ง
  • ฉีดไขมัน เป็นวิธีที่ค่อนข้างยุ่งยากเมื่อเทียงกับการใช้ฟิลเลอร์ หรือโบท็อกซ์ เพราะจะต้องมีการเก็บไขมันจากตัวผู้ที่ต้องการลดริ้วรอยจากต้นขา หรือหน้าท้อง ซึ่งก็อาจจะก่อให้เกิดแผลเป็นได้ นอกจากนี้ยังต้องทำหลายครั้งถึงจะเห็นผลเพราะไขมันนั้นร่างกายสามารถที่จะดูดซึมกลับไปใช้ได้ การลดริ้วรอยรอบดวงตาด้วยการฉีดไขมันนี้เหมาะกับผู้ที่มีความเสี่ยงในการแพ้สารต่าง ๆ อย่างรุนแรง เพราะเป็นการใช้ไขมันจากร่างกายตนเอง ไม่ใช่การฉีดสารอย่างอื่นเข้าไปนั่นเอง 
  • ฉีดฟิลเลอร์ การฉีดฟิลเลอร์นั้นเป็นการเข้านำเอาฟิลเลอร์เจ้าไปเติมเต็มชั้นผิวที่ยุบตัวลง ใครที่มีปัญหาริ้วริยรอบดวงตาที่มาจากเบ้าตาลึก รอยพับตา หรือมีรอยย่นใต้ตามาก การฉีดฟิลเลอร์เป็นวิธีที่แพทย์ทางด้านผิวหนังส่วนใหญ่แนะนำ

การป้องกันไม่ให้เกิด ริ้วรอยรอบดวงตา

ริ้วรอยรอบดวงตา

  1. ปกป้องผิวหน้าจากแสงแดด

แสงแดดเป็นตัวอันตรายและเป็นปัจจัยสำคัญที่เกิดริ้วรอยก่อนวัย เนื่องจากรังสี UVA และ UVB ทำลายชั้นอนุมูลอิสระบนผิวหนัง และบางครั้งดวงตาก็เป็นจุดที่หลายคนอาจเผลอละเลยทาครีมกันแดดบริเวณรอบเปลือกตา หรือการม้สวมแว่นกันแดดตอนออกแดดจ้าทำให้ริ้วรอยรอบดวงตายิ่งเกิดได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

  1. ใช้อายครีมเป็นประจำ

เนื่องด้วยดวงตาของเราก็เป็นส่วนหนึ่งของผิวหนัง การรักษาความชุ่มชื้นและคงให้ผิวอิ่มน้ำ เติมเต็มคอลลาเจนก็เป็นอีกหนึ่งหนทางในการบำรุงให้การเกิดริ้วรอยใต้ดวงตาน้อยลง เพื่อทางที่ดีควรใช่ควบคู่กับครีมกันแดดสูตรที่ไม่แสบตา อนึ่งครีมที่ทารอบดวงตาก็ไม่จำเป็นต้องแพงมากนัก สามารถใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์แทนกันได้เลยหรือวาสลีนทาแทนก็ย่อมได้ อีกทั้งกักเก็บความชุ่มชื้นในนานกว่าด้วย เน้นทาอย่างต่อเนื่องเป็นประจำสม่ำเสมอ

  1. ดื่มน้ำ พักผ่อนให้เพียงพอ

การดื่มน้ำ (ตามดัชนีมวลของร่างกายแต่ละคน) และการนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพออย่างน้อยวันละ 6 ชั่วโมงขึ้นไปส่งผลต่อผิวและความชุ่มชื้นอย่างเห็นได้ชัด หากคุณมีปัญหาในการดื่มน้ำ อย่างน้อยตอนตื่นนอนพยายามดื่มให้ได้สักครึ่งแก้ว และจิบน้ำเปล่าระหว่างวันบ่อย ๆ ก็จะช่วยคุณได้มาก ส่วนในเรื่องของการนอนพักผ่อน ไม่มีสูตรใดดีที่ดีสุดเท่ากับการนอนหลับให้เต็มอิ่มเพราะระบบในร่างกายจะฟื้นฟูได้ดีที่สุดเมื่อยามเรานอนหลับนั่นเอง

  1. ไม่เครียด และ ออกกำลังกายเป็นประจำ

การเครียดทำให้เรามักต้องมีการแสดงอารมณ์และสีหน้าด้วยความตึงเครียด และมีฮอร์โมตัวหนึ่งที่ทำให้หน้าหมองคล้ำและเกิดริ้วรอยบนดวงตาได้ ควรหาทำกิจกรรมอื่นเพื่อให้จิตใจได้ผ่อนคลาย อย่างเช่นดูหนัง ฟังเพลง ออกกำลังกาย ใช่แล้วเมือเราออกกำลังอย่างสม่ำเสมอทำให้เลือดสูบฉีดดี ร่างกายได้สะบัดความเครียดออกไป สร้างฮอร์โมนความสุขออกมาเป็นผลดีทั้งจิตใจและสุขภาพผิวพรรณ

  1. การรับประทานวิตามินเสริม คอลลาเจน

การรับประทานอาหารเสริมเพื่อสุขภาพ และความงามก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่เรามารถทำได้เพื่อให้เกิดการบำรุงอย่างล้ำลึกจากภายในสู่ภายนอก เช่นการเลือกรับประทานวิตามินซีซึ่งมีคุณประโยชน์หลากหลาย วิตามินซีนอกจากจะช่วยให้ผิวกระจ่างใสแล้วนั้น ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่จะช่วยเข้าไปเสริมสร้างผิวให้แข็งแรงทำให้ริ้วรอยต่าง ๆ นั้นเกิดใหม่ได้ยากขึ้น อีกหนึ่งอาหารเสริมสามารถช่วยเรื่องของริ้วรอยได้ก็คือ คอลลาเจนบำรุงผิว โดยเฉพาะคอลลาเจนไทป์ที่ 1 มีหลากหลายรูปแบบให้สามารถเลือกรับประทานได้ตามความชอบ และความสะดวก ไม่ว่าจะทั้งแบบผงชง แบบเจลลี่พร้อมทาน คอลลาเจนที่มาในรูปแบบเครื่องดื่ม เรียกได้ว่าใครสะดวกกับแบบไหน ชอบรสชาติแบบไหนมากกว่าก็เลือกตามที่ชอบได้ คอลลาเจนนั้นมีความสารถในการเข้าไปซ่อมแซมส่วนที่สึกหลอในร่างกาย เรียกได้ว่าเป็นสารที่เพิ่มความยืดหยุ่นซึ่งส่งผลให้ผิวของเรานั้นไม่แห้งตึงจนก่อให้เกิดริ้วรอย ดีตั้งแต่ภายในสู่ภายนอกนั่นเอง


อ้างอิงจาก

https://www.ncbi.nlm.nih.gov

https://www.mountsinai.org/health-library/symptoms/wrinkles

https://www.phyathai.com/

https://www.rama.mahidol.ac.th/

รักษาฝ้าด้วยตัวเอง ให้หน้าเนียนใส เคล็ดลับความงามแม้งบน้อยก็สวยได้

รักษาฝ้าด้วยตัวเอง ให้หน้าเนียนใส เคล็ดลับความงามแม้งบน้อยก็สวยได้

สุขภาพของผิวหน้าเป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่งของคุณผู้หญิง กับ คุณผู้ชาย ที่ต้องการจะดูแลผิวหน้าของตัวเองให้สดใส ไร้สิว ไร้ริ้วรอยอยู่เสมอ ถึงแม้ว่าในปัจจุบันจะมีวิธีต่าง ๆ รักษามากมาย ทั้งการทำศัลยกรรม ฉีดฟิลเลอร์ รวมทั้งวิธีอื่น ๆ อีกมากมาย แต่ทว่าการดูแลรักษาเบื้องต้น ก็ต้องให้ใบหน้าของคุณสุขภาพดี ไม่เป็นสิว ไม่เป็นฝ้า หรือ เป็นกระ โดยเริ่มจากที่คุณสามารถดูแลใบหน้าตัวเองได้ให้เนียนใสได้เช่นกัน แน่นอนว่าวันนี้พวกเราจะมาแนะนำ วิธี รักษาฝ้าด้วยตัวเอง ให้หน้าเนียนใส งบน้อยก็สวยได้ ซึ่งจะเริ่มต้นตั้งแต่การทำความรู้จักเรื่อง ฝ้า,กระ ทั้งสาเหตุในการเป็น รวมทั้งวิธีดูแลตัวเองไม่ให้เกิดฝ้าด้วย แม้แต่ว่างบน้อย ก็สามารถดูแลรักษาใบหน้าของตัวเองได้ ส่วนจะมีวิธีไหน หรือ ข้อมูลแบบใดที่คุณควรรู้บ้าง วันนี้พวกเราได้รวบรวมมาให้อ่านกันแล้วในบทความนี้


ฝ้า กระ เกิดจากอะไร 

สุขภาพผิวหน้า ถือว่าเป็นความสำคัญสำหรับคนรักความสวยงาม เพราะเป็นเหมือนสิ่งที่สร้างความมั่นใจให้กับตัวเอง ดังนั้นแล้ววันนี้พวกเราจะขอแนะนำเรื่องกวนใจสำหรับคนอยากมีผิวหน้าใส นั่นก็คือ ฝ้า และ กระ ซึ่งสาเหตุจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมีดังต่อไปนี้


สาเหตุในการเกิด “กระ”

รักษาฝ้าด้วยตัวเอง

“กระ” จะมีลักษณะเป็นจุดเล็ก ๆ มีสีน้ำตาลอ่อน จะกระจายตัวอยู่ตามผิวหนังของร่างกาย มีสาเหตุที่สำคัญกับการเกิดจากที่เซลล์เม็ดสี หรือ เมลานิน ทำงานผิดปกติ จึงส่งผลให้เกิดการสร้างเม็ดสีมากขึ้น จนเกิดเป็นริ้วรอย รวมทั้งจุดด่างดำเล็ก ๆ โดยสาเหตุที่ทำให้ เมลานิน ผิดปกติ เกิดได้จาก 3 สาเหตุหลัก ๆ  ซึ่งมีดังต่อไปนี้

  • พันธุกรรม  : เริ่มต้นด้วยสาเหตุแรกที่ใครหลาย ๆ คนที่ได้รับการถ่ายทอดมาจาก DNA จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าจะพบกับแสงแดดน้อยก็ตาม โดยจะมีลักษณะเป็นสีแทน หรือ น้ำตาลออกแดง รูปร่างจะเป็นกลมจุดเล็ก สาเหตุนี้เป็นสาเหตุที่บางคนอาจจะเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิด แต่รักษาได้
  • สภาพแวดล้อม และ แสงแดด  คือ ต้นเหตุทำร้ายผิวกาย รวมทั้งผิวหน้าด้วยเช่นกัน ซึ่งการเกิดกระในลักษณะนี้ จะเกิดขึ้นบนผิวชั้นบน หรือ หนังกำพร้า จะเรียกว่า กระธรรมดา หรือ กระแดด โดยสามารถเกิดขึ้นได้ง่าย ๆ ถ้าหากว่าเจ้าของใบหน้าไม่มีการดูแลตัวเอง อีกทั้งยังต้องเผชิญกับรังสียูวี จากแสงแดดอยู่บ่อยครั้ง ที่สำคัญ แสงจากหน้าจอสมาร์ทโฟน ก็ส่งผลเช่นเดียวกันนั่นเอง
  • ปัจจัยทางด้านอายุ เป็นอีกหนึ่งสาเหตุของการเกิดฝ้าได้เช่นกัน เมื่อายุของคุณมากขึ้น ตัว “กระ” ที่เกิดขึ้น ก็จะมีสีเข้มมากขึ้น หรือ จะเรียกได้ว่าเป็น “กระเนื้อ” หรือ “Seborrheic Keratosis” โดยเกิดจากการแบ่งตัวของเซลล์ผิวหนังที่ผิดรูปแบบไป ซึ่งมักจะพบตามใบหน้า หน้าอก ไหล่ และ ส่วนของหลัง 

และนี่คือ 3 สาเหตุใหญ่ของการเป็น “กระ” โดยมีทั้งสาเหตุที่เลี่ยงได้ รวมทั้งสาเหตุที่เลี่ยงไม่ได้อย่าง “อายุ กับ พันธุกรรม” อย่างไรก็ตาม คุณเองถ้าไม่อยากเป็นกระ ควรหลีกเลี่ยงแสงยูวี เพราะเป็นผลเสียที่ทำให้ผิวหน้า หรือ ผิวกาย สุขภาพแย่ตามไปด้วยนั่นเอง 


สาเหตุของการเกิด “ฝ้า” 

รักษาฝ้าด้วยตัวเอง

“ฝ้า” จะมีลักษณะ รอยคล้ำสีดำ หรือ น้ำตาลอ่อน โดยมักจะเกิดขึ้นบริเวณโหนกแก้ม คาง หน้าผาก โดยส่วนมากแล้วจะพบในผู้หญิง อายุประมาณ 25-55 ปี แน่นอนว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยมาก โดยเฉพาะในคนเอเชีย ซึ่งเกิดได้ทั้งผู้ชาย กับ ผู้หญิงก็เกิดขึ้นได้เช่นกัน แน่นอนว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาที่ท้าทายวงการแพทย์ การรักษาโรคผิวหนังทั่วโลก เพราะเป็นสิ่งที่ทำให้หายขาดได้ยากมาก 

ซึ่งทำให้การรักษา “ฝ้า” ในปัจจุบันนี้ เกิดขึ้นได้หลากหลาย จนทำให้คนไข้นั้น เกิดความสับสนทั้งครีมลอกฝ้า การกรอผิว การใช้กรดผลไม้ผลัดผิว รวมทั้งการทำเลเซอร์ก็มีอยู่ด้วยกันหลายวิธีเลยทีเดียว แต่ทว่า คนไข้บางรายก็รักษามาหลายวิธีมาก แต่ทว่า ฝ้าก็ยังไม่หายไป หรือ ดีขึ้นแต่อย่างใด โดยบางรายก็กลับมาเข้มขึ้น มีอาการหน้าแดง ผิวแพ้ง่าย ระคายเคือง สู้แสงไม่ได้ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของร่างกายในระหว่างการรักษา จึงต้องใช้เทคโลโลยีที่ทันสมัย รวมทั้งแพทย์ผู้รักษาจะต้องเชี่ยวชาด้วยเช่นกัน ซึ่งสาเหตุของการเกิดฝ้าขึ้น จะมีดังต่อไปนี้

  • ฝ้าแดด  การเกิดฝ้าแดด จะเกิดจากการที่ผิวหน้า ได้รับแสง UVA และ UVB โดยตรงหรือบ่อยครั้ง โดยจะส่งผลให้เม็ดสีในผิวหนังได้รับการกระตุ้นให้ผลิตเม็ดสีที่เพิ่มขึ้น ทำให้ผิวเปลี่ยนเป็นสีเข้มขึ้น เป็นที่มาของคำว่า “ฝ้าแดด” หากไม่อยากให้เกิดฝ้าประเภทนี้ก็ต้องอย่าลืมหมั่นทา ครีมกันแดดยี่ห้อดีๆ เป็นประจำทุกวัน
  • ฝ้าฮอร์โมน สำหรับฝ้าฮอร์โมน เกิดจาก การที่มีฮอร์โมน “เอสโตรเจน” ที่มากเกิดไป ตัวอย่างเช่น การหลังฮอร์โมนช่วงตั้งครรภ์ หรือ การหลั่งฮอร์โมนจากต่อมหมวกไต ซึ่งจะทำให้การสร้างเม็ดสี ในชั้นผิวหนังผลิตเม็ดสี ออกมาสู่ผิวหนังที่ไม่สม่ำเสมอ จึงมีการกระตุ้นผลิตเม็ดสีที่ผิดปกติออกมา ทำให้ฝ้านั้น มีความเข้มมากกว่าเดิมนั่นเอง
  • ฝ้าที่เกิดจากเครื่องสำอาง เครื่องสำอางต่าง ๆ ไม่ได้มีผลดีทุกชิ้น แน่นอนว่า ครีมหน้าขาวใส หรือ ครีมที่ไม่ได้รับมาตรฐาน จะมีส่วนผสมของสารเคมี สารกันบูด รวมทั้งสารปรอท ตะกั่ว ที่ปนเปื้อนมา ทำให้เกิดการกระตุ้นเกิดฝ้าได้ง่ายกว่าธรรมชาติ ซึ่งแรก ๆ อาจจะส่งผลดี แต่เมื่อพอใช้ไปนาน ๆ จะทำให้ใบหน้าบอบบาง แพ้ง่าย ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อหยุดใช้ หน้าก็จะยิ่งอ่อนแอลง ซึ่งนอกจากฝ้าแล้ว ก็อาจจะเป็นปัญหาเพิ่มเติมอย่างสิว หรือ ผิวแพ้ง่ายตามมานั่นเอง
  • ฝ้าเข้ม จากการเลเซอร์  การรักษาอย่างการ “เลเซอร์” ในบางชนิด อาจจะทำให้ฝ้ามีสีเข้มขึ้นได้ ถ้าหากว่าหยุดทำ ดังนั้น เมื่อคิดที่จะทำเลเซอร์ ควรปรึกษา พร้อมทั้งหาข้อมูลให้ดีก่อนที่จะไปทำเรื่องนี้ดีกว่า เพราะฝ้าชนิดนี้รักษายากกว่าฝ้าแดด รวมทั้ง ฝ้าฮอร์โมนด้วย
  • ฝ้าจากความเครียด ความเครียด คือ สิ่งที่ไม่ดีที่ส่งผลทั้งร่างกาย สุขภาพ รวมทั้ง สภาพผิวด้วย เพราะเมื่อเราทำงานหนัก พักผ่อนไม่เพียงพอ เกิดความเครียด ก็จะมีฮอร์โมนจากต่อมใต้สมองทำให้ฝ้าดูชัดขึ้น รวมทั้งเราจะเห็นว่า ผิวหน้าดูคล้ำขึ้นอีกด้วย แน่นอนว่าความเครียด คือภัยเงียบที่จำให้สุขภาพของคุณทั้งร่างกาย และ จิตใจแย่ลงเป็นอย่างมาก

อย่างที่ได้อธิบายไปแล้วนั้นว่า ฝ้า กับกระ จะเกิดขึ้นได้ในแบบที่เลี่ยงได้ รวมทั้งแบบที่เลี่ยงไม่ได้อย่าง ฮอร์โมน,พันธุกรมม รวมทั้ง อายุของคุณที่มากขึ้น ดังนั้นแล้ววิธีที่จะช่วยทำให้ไม่เกิดได้คุณต้องหลีกเลี่ยงแสงแดดจัด ที่มีรังสี UV รวมไปถึงการใส่ใจในสุขภาพผิว ทั้งผิวหน้า และ ผิวกาย จะต้อมมีความสม่ำเสมอมากขึ้น เพื่อลดการเกิดฝ้า และ กระ สำหรับเรื่องต่อไปจะพาไปทำความรู้จักเกี่ยวกับ ประเภทของฝ้า เพื่อรักษาให้ตรงจุด ซึ่งจะมีรายละเอียดอย่างไร ติดตามอ่านกันต่อได้เลย


รู้จักประเภทของฝ้า เพื่อรักษาให้ตรงจุด

รักษาฝ้าด้วยตัวเอง

ประเภทของฝ้านั้น จะถูกแบ่งออกเป็น 4 ชนิดหลัก ๆ ด้วยกัน โดย 2 ชนิดแรกเป็นชนิดที่ระบุได้ว่าเป็นฝ้าแบบใด นั่นก็คือ ฝ้าแบบตื้น กับ ฝ้าแบบลึก ส่วนอีก 2 ประเภทที่ไม่สามารถแยกได้ชัดเจนว่าเป็นฝ้าชนิดใด อย่าง ฝ้าแดด และ ฝ้าเลือด โดยทั้ง 4 ประเภทนี้จะมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ 

1.ฝ้าแบบตื้น 

สำหรับฝ้าแบบตื้น จะเป็นชนิดของฝ้าที่เกิดจากการสร้างเม็ดสี เมลานิน ที่มากกว่าปกติ ในระดับผิวหนังชั้นหนังกำพร้า โดยจะเป็นสีน้ำตามเข้ม หรือ สีดำ มีขอบชัด เกิดขึ้นง่าย แต่จะรักษาได้เร็ว โดยฝ้าในลักษณะนี้ส่วนใหญ่แล้ว สามารถแก้ไข หรือ รักษาตรงจุดด้วยได้ด้วยครีมทาฝ้า แต่จะต้องทาครีมติดต่อกันทุกวันประมาณ 3 อาทิตย์ หลังจากนั้นแล้วฝ้าชนิดนี้จะจางลงอย่างชัดเจน ซึ่งฝ้าในลักษณะนี้จะรักษาให้หายขาดได้ 

2.ฝ้าแบบลึก 

สำหรับฝ้าแบบลึก จะเกิดจากการสร้างเม็ดสี เมลานิน ที่มากกว่าปกติเช่นกัน โดยจะอยู่ในระดับผิวหนังชั้นหนังแท้ โดยจะมีลักษระเป็นสีม่วงอมน้ำเงิน ประเภทนี้จะรักษายากกว่าฝ้าแบบตื้น การทาครีมทาฝ้าเป็นประจำจะช่วยให้จางลงได้ แต่ทว่าจะไม่หายขาด วิธีเดียวที่จะช่วยให้หายขาดได้คือ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำในการรักษาตามไปด้วย ไม่เช่นนั้นแล้วจะไม่หายขาดอย่างแน่นอน 

4.ฝ้าแดด 

จะเป้นฝ้าที่จัดอยู่ในลักษณะของฝ้าที่ไม่สามารถแยกได้ชัดเจนว่า เป็นฝ้าชนิดใด ซึ่งจะพบมากในผู้ที่สีผิวเข้ม เช่น ชาวแอฟริกัน โดยฝ้าแบบนี้จะเกิดจากการได้รับรังสียูวีจากแสงแดด แสงไฟ รวมทั้งแสงจากคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ โดยจะมีลักษณะเป็นรอบสีน้ำตาลคล้ำ ดำ กับ แดง หรือ บางรายอาจจะเป็นสีเทาอมม่วง แน่นอนว่าถ้าหากไม่ได้รับการดูแลรักษาให้จางหายไป มันก็จะมีสีเข้มขึ้นเรื่อย ๆ เพราะว่าชีวิตประจำวันของเรา มักจะโดนแสงแดด พร้อมทั้งรับแสงยูวีอยู่ทุกวัน สิ่งนี้จึงสะสมขึ้น จนเข้มเรื่อย ๆ อย่างแน่นอน ดังนั้นจึงทาครีมกันแดดเป็นประจำโดยสามารถเลือกได้ทั้ง กันแดดรองพื้น กันแดดน้ำ หรือครีมกันแดดทั่วไปก็ได้

5.ฝ้าเลือด

ชนิดนี้ก็จะจัดอยู่ในลักษณะของฝ้าที่ไม่สามารถแยกได้ชัดเจน เช่นเดียวกัน โดยมีลักษณะเป็นสีแดง คล้ายกับเส้นเลือก หรือ สีแดงปนน้ำตาล จะเกิดจากความผิดปกติของเลือดลม รวมทั้งการแปรเปลี่ยนของฮอร์โมนภายในร่างกาย โดยจะสังเกตได้ง่าย ๆเลยว่า คนที่เป็นฝ้าเลือด เวลาที่โดดแสงแดดจัด ผิวหน้าจะมีสีแดงง่าย นอกจากนี้ถ้าหากใครใช้ครีมทาฝ้าเพื่อรักษาฝ้า แต่ทว่าไปเจอสารเคมีอย่าง ไฮโดรควิโนน และสารปรอท ก็จะยิ่งทำให้รอยแดงของม้าชัดเจนขึ้นไปอีกด้วยนั่นเอง 

แน่นอนว่าการรักษาฝ้าให้ตรงจุดนั้นเป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้นแล้ว การรักษาฝ้าของคุณ จะต้องศึกษาเรื่องฝ้าที่คุณเป็นอยู่ให้ได้ก่อนว่า คุณเป็นฝ้าแบบไหน รักษาอย่างไรได้บ้าง ถ้าหากว่าคุณเองเป็นฝ้าที่จะต้องปรึกษาแพทย์ ก็ต้องปรึกษาแพทย์ก่อนทำการรักษาเสมอ เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว การทุเลาลงของฝ้า อาจจะเกิดการลุกลาม จนเป็นหนักขึ้นได้นั่นเอง 


วิธีรักษาฝ้า กระ แบบค่อยเป็นค่อยไป

รักษาฝ้าด้วยตัวเอง

ขอแนะนำกันสักเล็กน้อยเกี่ยวกับ วิธีในการรักษาฝ้า กระ โดยจะต้องเป็นแนวทางการรักษาในรูปแบบที่ค่อยเป็นค่อยไป ด้วยเหตุผลที่การรักษานั้นจะยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ก็สามารถทำให้จางลงได้ ซึ่งฝ้าที่มีสาเหตุมาจากฮอร์โมน ก็เป็นอีกหนึ่งประเภทที่รักษาได้ แต่จะต้องทำแบบค่อย ๆ ทำ เพื่อไม่ให้เกิดความระคายเคือง แต่ ผิวไม่เสียอีกด้วย โดยวิธีการรักษาฝ้า กระ จะมีดังต่อไปนี้ 

1.การรักษาด้วยยา

นี่คือวิธีเบื้องต้นที่ต้องใช้ยารักษาฝ้า ซึ่งในรูปแบบของครีมที่มีส่วนผสมที่จะช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสี ตัวอย่างเช่น ยากรดวิตามินเอ, ยากลุ่มทรานิซามิก,ครีมทาที่มีส่วนผสมของกรดผลไม้ รวมทั้ง ครีมไวท์เทนนิ่ง ซึ่งก่อนจะใช้ยาต่าง ๆ เหล่านี้ ก็ต้องปรึกษาแพทย์ก่อน เพราะอาจจะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวได้ 

2.การรักษาด้วยเลเซอร์ การผลัดเซลล์ผิวหนัง

เป็นวิธีการรักษาฝ้าแบบเร่งด่วน พร้อมทั้งเห็นผลได้เร็วกว่าการทาครีม ซึ่งเป็นวิธีที่ได้รับความนิยม แต่ทว่าประสิทธิภาพของผลการรักษาลดลง ซึ่งยังขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลที่จะตอบรับการรักษาในชนิดนี้ได้ดีอีกด้วย 

3.การรักษาฝ้าด้วย “สมุนไพร” 

“สมุนไพร” ถือได้ว่าเป็นวิธีธรรมชาติรักษาฝ้าที่ราคาไม่แพง แต่ก็ไม่เห็นผลได้ชัดเจน โดยการใช้สมุนไพรจะช่วยผลัดเซลล์ผิวตามธรรมชาติ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งแนวทางในการผลัดเซลล์ผิวหนัง หากว่าทำเช่นนี้บ่อย ก็อาจจะทำให้ผิวบอบบาง แพ้ง่ายเช่นกัน 

4.การฉีดวิตามินผิว กับ การฉีดเมโสหน้าใส

การฉีดวิตามินผิว จะช่วยฟื้นฟู รักษาปัญหาผิว ทั้งรูปแบบผิวที่ไม่สดใส รวมทั้งผิวแห้งกร้าน อีกทั้งยังช่วยลดการเกิดเม็ดสีเมลานิน ทำให้ผิวขาวใส ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน เพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิว พร้อมทั้งเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวได้ รวมไปถึงการฉีด “เมโสหน้าใส” ก็จะเหมาะกับ การบำรุงที่เฉพาะเจาะจงมากกว่า โดยการฉีดรูปแบบนี้จะมีสูตรหน้าขาวใส จะมีส่วนผสมของวิตามินต่าง ๆ ที่จะทำให้หน้าขาวใส เช่น วิตามิน ABCE, Transamin, Glutathione ที่สามารถช่วยให้ลดเลือนรอยฝ้า และ กระได้ อีกทั้งจะช่วยแก้ปัญหารูขุมชนกว้าง เสริมสร้างคอลลาเจนในผิวได้อีกด้วย 

จะเห็นได้ว่า การรักษาฝ้า กระ อย่างค่อยเป็นค่อยไป ต้องใช้เวลา รวมทั้งการเสียค่าใช้จ่ายในกรณีที่ต้องเลเซอร์ หรือ ทำการบำรุงระยะยาว จะมีตัวเลขที่ค่อนข้างสูง  ดังนั้นจะต้องปรึกษาแพทย์ และ คิดถึงให้ดีเกี่ยวกับการรักษา 


5 วิธี รักษาฝ้าด้วยตัวเอง

รักษาฝ้าด้วยตัวเอง

การรักษาฝ้า กระ ก็สามารถทำได้ตัวเอง ด้วยวิธีแบบธรรมชาติ ไม่ต้องเสียเงินเลเซอร์ หรือ ฉีดบำรุงให้เสียเงิน แต่พวกเรามีวิธีการรักษาฝ้าด้วยตัวเอง 5 วิธีดังต่อไปนี้ 

1.ใช้น้ำส้มสายชูหมักแอปเปิล

วิธีการนี้จะช่วยลดฝ้าได้ โดยเราจะใช้ น้ำสมสายชูหมักกับแอปเปิล มาเช็ดหน้าแทนโทนเนอร์ได้ โดยจะต้องผสมกับน้ำอุ่นเล็กน้อย เพราะมีฤทธิ์เป็นกรด จะมีโพแทสเซียมสูง โดยจะช่วยผลัดเซลล์ผิวได้ รวมทั้งจะช่วยให้ผิวกระจ่างใส อีกทั้งลดจุดด่างดำ อีกทั้งช่วยลดรอยดำจากสิวด้วย

2.ใช้น้ำใบบัวบก 

การใช้ “น้ำใบบัวบก” รักษาฝ้า เป็นวิธีการธรรมชาติที่ช่วยลดฝ้าได้ โดย วิธีการใช้ก็คือ นำน้ำใบบัวบกมาเช็ดหน้าแทนโทนเนอร์ โดยใช้น้ำใบบัวบกเช็ดหน้าแล้วทิ้งเอาไว้ประมาณ 10-15 นาที  จากนั้นก็ล้างออกด้วยน้ำสะอาด

3.กินวิตามิน บำรุง

การบำรุงผิวหน้า นอกจากการใช้ครีมกันแดด หรือ การหลีกเลี่ยงแสงแดดแล้ว การกินวิตามิน โดยเฉพาะวิตามินเอ วิตามินซี และ อี จะช่วยลดฝ้าได้ แน่นอนว่าการบำรุงผิวจากภายใน จะช่วยให้ผิวแข็งแรงสามารถทนต่อแสงแดดได้ดีขึ้น ส่งผลให้ช่วยลดการเกิดฝ้าได้เช่นกัน  

4.การทาครีมบำรุง

ครีมบำรุงผิว เป็นวิธีแบบที่ทุกคนสามารถทำได้ด้วยตัวเอง นั่นก็คือ การใช้ครีมบำรุงที่มีสารไวท์เทนนิ่ง ที่ช่วยให้ผิวหน้าดูขาว กระจ่างใส พร้อมทั้งยังมี วิตามินซี,อาร์บูติน (Arbutin), AHA รวมทั้งสารสำคัญอื่น ๆ แต่ทว่าเป็นครีมที่ได้รับการพิสูจน์จากแพทย์ผิวหนังแล้วว่า จะต้องใช้เป็นประจำ ทั้งเช้า-เย็น อย่างต่อเนื่อง จึงจะเห็นผลที่สุด ใครที่ไม่เคยใช้ก็ลองหันมาใช้กันดู เพราะจะช่วยป้องกัน และ รักษาการเกิดฝ้า หรือ กระ ได้เป็นอย่างดี 


สิ่งที่สำคัญที่เราควรจะปกป้องนั่นก็คือ ผิวหน้า เพราะว่ามีความบอบบาง ระคายเคืองง่าย ยิ่งไปกว่านั้นอันตรายจากแสงแดด ที่มีรังสี UVA กับ UVB เป็นส่วนที่ทำร้ายผิวหน้า ผิวกายของเราอย่างแท้จริง ดังนั้นแล้วเมื่อเกิดกระ หรือ ฝ้าขึ้นแล้ว นี่เป็นสัญญาณว่าคุณควรจะดูแลตัวเอง พร้อมทั้งรีบรักษาก่อนที่จะบานปลายจนลงลึก และ รักษาไม่หาย หรือ มีส่วนเป็นมะเร็งผิวหนังได้เช่นกัน นี่แหละคือเรื่องที่ร้ายแรงที่สุด สำหรับความรู้ รักษาฝ้าด้วยตัวเอง ทั้งหมดที่พวกเราได้รวบรวมมาในวันนี้ ไม่ว่าจะเป็น สาเหตุของการเกิดฝ้า รูปแบบของฝ้า กระ รวมทั้งวิธีการรักษาอย่างตรงจุด เชื่อเลยว่าทุกท่านจะได้ความรู้ที่ใช้ได้จริง อีกทั้งยังสามารถประเมินการรักษาได้ดี ใครที่พบปัญหาผิวหน้าเป็นฝ้า หรือ เป็นกระ ต้องรีบปรึกษาแพทย์ตามอาการ และ เป็นสิ่งที่รอไม่ได้เพราะจะยิ่งส่งผลเสียมากกว่านี้ได้ในอนาคตนั่นเอง 


Credit:

ฝ้า กระ จุดด่างดำ เกิดจากอะไร ? สาเหตุ และวิธีการรักษาแบบตรงจุด (vsquareclinic.com)

5 วิธีรักษาฝ้าแบบธรรมชาติ หน้าเนียนใส หายขาดได้แน่นอน (trueid.net)

ฝ้ามีกี่ประเภท รักษาอย่างไรให้ตรงจุด (conceptcream.com)

สกินแคร์รูทีน 7 ขั้นตอนสกินแคร์ทาอย่างไรให้ผิวสวยใสแบบสาวเกาหลี 

สกินแคร์รูทีน 7 ขั้นตอนสกินแคร์ทาอย่างไรให้ผิวสวยใสแบบสาวเกาหลี 

สาว ๆ หลายคนอาจจะสงสัยใช่ไหมล่ะว่าทำไมผู้หญิงเกาหลีถึงได้มีผิวหน้าที่เนียนสวยแล้วก็กระจ่างใสกันได้ขนาดนั้น ซึ่งสิ่งที่พวกเขาให้ความสำคัญกันก็คือการลงสกินแคร์รูทีนนั่นเอง วันนี้แอดมินจึงจะมาเผยขั้นตอนการลง สกินแคร์รูทีน ที่ถูกต้องกัน เพราะการเรียงลำดับการทาที่ถูกนั่นจะช่วยให้สกินแคร์ซึมซาบเข้าสู่ผิวหนังได้ดีและเห็นผลจากผลิตภัณฑ์ที่ใช้มากยิ่งขึ้นนั่นเอง แต่ก่อนที่เราจะไปดูขั้นตอนการทานั้น เรามาทำความรู้จักสกินแคร์แต่ละประเภทกันก่อนดีกว่า


สกินแคร์ มีกี่ประเภท? แต่ละประเภทช่วยเรื่องอะไรบ้าง 

สกินแคร์รูทีน

สกินแคร์แต่ละประเภทนั้นมีหลายรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป โดยแต่ละประเภทก็ได้ผลิตออกมาเพื่อตอบโจทย์ต่อการใช้งานตามปัญหาผิวและสภาพผิวที่แตกต่างกันของแต่ละคน มาดูกันว่าจะมีประเภทอะไรบ้าง


1.ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้า 

ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าหรือ คลีนซิ่งเช็ดเครื่องสำอางดีๆ จะมีลักษณะเป็นของเหลวและมาในรูปแบบ น้ำ เจล หรือ ออยล์ สามารถใช้โดยการนวดที่หน้าได้โดยตรงหรือจะหยดลงบนสำลีแล้วเช็ดบนผิวหน้าก็ได้ ผู้ที่แต่งหน้าหรือทาครีมกันแดดต้องใช้คลีนซิ่งเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการอุดตันบนในหน้า


2.ผลิตภัณฑ์หน้าล้าง

สิ่งนี้จะช่วยทำความสะอาดผิวหน้าและช่วยขจัดคราบความมันบนใบหน้า รวมถึงสิ่งสกปรกที่ตกค้างอยู่ในรูขุมขน ซึ่งจะมีทั้งรูปแบบ โฟมล้างหน้า เจลล้างหน้า และสบู่ก้อน


3.โทนเนอร์

Toner เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยในการทำความสะอาดผิวหน้าที่ช่วยให้ผิวหน้าสะอาดหมดจดยิ่งขึ้นกว่าเดิม ส่วนใหญ่มักมาในเนื้อโลชั่นบาง ๆ และมักจะมีวิตามินช่วยบำรุงผิว

4.มอยส์เจอร์ไรเซอร์

ผลิตภัณฑ์ให้ความชุ่มชื่นแก่ผิวโดยส่วนใหญ่แล้วมักจะมีส่วนผสมของโลชั่นและครีม ผู้ที่มีผิวแห้งหรือผิวมันก็สามารถทาได้เพราะจะช่วยให้ผิวคงความชุ่มชื้นไว้ ทำให้ผิวไม่ขาดน้ำจึงสามารถช่วยลดความมันบนใบหน้าได้

5.ครีม

สกินแคร์ประเภทนี้มีส่วนผสมของน้ำมันเยอะมากกว่าประเภทอื่น ๆ เนื้อจึงมีความเข้มข้นที่สุดและอาจทำให้ซึมซาบเข้าสู่ผิวได้ช้า แต่มันสามารถคงความชุ่มชื้นให้กับผิวได้ดีที่สุดจึงเหมาะกับคนผิวแห้งมากที่สุด โดยคุณสามารถบำรุงด้วยไนท์ครีมในตอนกลางคืน ส่วนตอนกลางวันก็บำรุงด้วยครีมทั่วไปได้

6.โลชั่น

โลชั่นไม่ได้มีไว้สำหรับบำรุงผิวกายเท่านั้น เพราะผิวหน้าก็สามารถบำรุงด้วยได้ด้วยเช่นกัน โดยมันจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวใช้ได้ทั้งผู้ที่มีผิวธรรมดาและผิวผสม ซึ่งโลชั่นที่ทางฝั่งเอเชียนิยมใช้และไม่หนักหน้าจนเกินไปจะมาในรูปแบบที่เราเรียกกันว่า ‘น้ำตบ’ นั่นเอง

7.เอสเซนส์

อีกหนึ่งรูปแบบผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าในขั้นตอนแรก ๆ ซึ่งเอสเซนส์จะมีลักษณะเป็นน้ำเหลว ๆ บางเบา จึงซึมเข้าสู่ผิวได้อย่างรวดเร็วแม้ว่าสภาพผิวแบบไหนก็สามารถใช้ได้ โดยส่วนใหญ่มักจะมาในรูปแบบน้ำตบเช่นเดียวกัน

8.เซรั่ม 

ผลิตภัณฑ์ประเภทนี้จะมีความเข้มข้นว่าเอสเซนต์และมีส่วนผสมของน้ำมันค่อนข้างมาก จึงไม่ค่อยเหมาะสำหรับคนผิวมันเท่าไหร่ แต่มันสามารถช่วยแก้ปัญหาผิวได้อย่างล้ำลึก เช่น ลดรอยสิว ลดริ้วรอย และปัญหาผิวหน้าหมองคล้ำ

9.ผลิตภัณฑ์กันแดด 

ในตอนเช้าต้องทาผลิตภัณฑ์กันแดดเพื่อปกป้องผิวจากรังสี UV หากผู้ที่ไม่ได้ทากันแดดในตอนเช้านั้นอาจส่งผลให้รังสียูวีเข้าไปทำลายคอลลาเจนใต้ชั้นผิวหนัง ส่งผลให้ผิวเหี่ยวย่นและเกิดฝ้า กระ ตามมาได้ โดยผลิตภัณฑ์ประเภทนี้จะมีทั้งในรูปแบบครีม เจล โลชั่น สเปรย์ และขี้ผึ้ง 


7 ลำดับการทา สกินแคร์รูทีน ที่ถูกต้อง

หลังจากที่เราได้ทำความรู้จักกับสกินแคร์แต่ละประเภทกันไปแล้ว ต่อไปเรามาดูกันว่าขั้นตอนการลงสกินแคร์รูทีนที่ถูกต้องนั้น ต้องเรียงลำดับการทาอย่างไรบ้าง


Step 1 : เช็ดผิวหน้าด้วยคลีนซิ่ง

สกินแคร์รูทีน

หลังจากที่ผิวหน้าของเราเผชิญเครื่องสำอาง ฝุ่น และมลพิษต่าง ๆ มาทั้งวันแล้วควรเช็ดผิวหน้าให้สะอาดด้วยเมคอัพรีมูฟเวอร์ก่อน เพื่อให้ผิวหน้าสะอาดและขจัดสิ่งสกปรกที่เข้าไปอุดตันในรูขุมขน 


Step 2 : ล้างหน้าให้สะอาด

สกินแคร์รูทีน

เมื่อขจัดสิ่งสกปรกออกจากผิวหน้าไปแล้ว ต่อไปคือขั้นตอนการล้างหน้าเพื่อลดความมันบนใบหน้าและทำความสะอาดได้อย่างล้ำลึก


Step 3 : เช็ดด้วยโทนเนอร์

สกินแคร์รูทีน

การใช้โทนเนอร์จะช่วยขจัดคราบต่าง ๆ บนใบหน้าให้ผิวสะอาดมากยิ่งขึ้นทำให้ลดการอุดตันของสิ่งสกปรกและช่วยลดการเกิดสิวได้


Step 4 : ลงเอสเซนส์

สกินแคร์รูทีน

ต่อไปก็เริ่มบำรุงผิวหน้าโดยการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความเหลวมากที่สุดก่อน นั้นก็คือการลงเอสเซนส์หรือน้ำตบเพื่อเตรียมความพร้อมให้กับผิวในการลงสกินแคร์ รูทีนขั้นต่อไป


Step 5 : ลงผลิตภัณฑ์รักษาสิว

สกินแคร์รูทีน

สำหรับผู้ที่เป็นผิว สามารถลงครีมรักษาสิวเฉพาะจุดได้ก่อนเลยและควรเลือกเป็นครีมชนิดที่ซึมเข้าผิวไว เพราะต้องรอให้เนื้อครีมซึมเข้าผิวจนแห้งสนิทก่อนจึงจะสามารถลงสกินแคร์ในขั้นต่อไปได้


Step 6 : ทาเซรั่มและมอยส์เจอไรเซอร์

สกินแคร์รูทีน

สิ่งนี้จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว สำหรับผู้ที่มีผิวแห้งหรือผิวมันก็สามารถลงเซรั่มหรือมอยส์เจอไรเซอร์ได้เช่นกันเพื่อให้ผิวชุ่มชื้นและไม่ขาดน้ำ ทำให้เป็นสกินแคร์วัย 30+ที่คนอายุเริ่มเข้าเลข 3 ต้องใช้ทุกคน


Step 7 : ทาครีมกันแดด

สกินแคร์รูทีน

ขั้นตอนนี้ถือว่าเป็นหนึ่งสเตปที่ขาดไม่ได้เลย สำหรับในตอนเช้าไม่ว่าคุณจะออกจากบ้านหรือไม่ก็ตามควรทาครีมกันแดดทุกวันเพื่อปกป้องผิวจากรังสี UV ไม่ให้ทำลายผิวหน้า ผู้ที่ไม่ได้ทาครีมกันแดดอาจจะเกิดฝ้าและกระบนใบหน้าได้ รวมถึงทำให้หน้าเหี่ยวย่นก่อนวัยอีกด้วย


ทั้งหมดนี้ก็คือลำดับในการทาสกินแคร์รูทีนอย่างถูกวิธีนั่นเอง หากคุณบำรุงตามขั้นตอนดังต่อไปนี้มันก็จะช่วยให้ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและซึมซาบเข้าสู่ผิวได้อย่างเต็มที่ ที่สำคัญสาว ๆ แต่ละคนก็อย่าลืมเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับสภาพผิวของตัวเองด้วยเพื่อให้สกินแคร์เหล่านั้นบำรุงได้อย่างตรงจุดมากที่สุด ผิวของเราจะได้เนียนใสปิ๊งเหมือนสาวเกาหลี


อ้างอิง:

https://www.lifestyleissue.com/beauty/skincare-types/ 

https://vogue.co.th/beauty/6-step-skin-care-for-oily-skin 

วิธีล้างหน้าด้วยน้ำเย็น และการใช้น้ำแข็ง 7 ข้อดี ให้กลับมาแข็งแรงอีกครั้ง

วิธีล้างหน้าด้วยน้ำเย็น และการใช้น้ำแข็ง 7 ข้อดี ให้กลับมาแข็งแรงอีกครั้ง

ล้างหน้าด้วยน้ำเย็น และการใช้น้ำแข็ง 7 ข้อดี ให้กลับมาแข็งแรงอีกครั้ง อากาศมันร้อนจะนั่งจะนอนก็ไม่สบายตัว และที่สำคัญอากาศแบบนี้เป็นผลร้ายผิวหน้าอย่างมาก ผิวองเราสามารถเสื่อมสภาพได้เร็ว

เพราะฉะนั้นวิธีที่ง่าย และประหยัดงบมากที่สุดในการซ่อมผิวเสียจากความร้อน คือการล้างหน้าด้วยน้ำเย็น และการใช้น้ำแข็งประคบ คุณรู้หรือไม่ว่ามันมีข้อดีมาก ทำง่ายๆ ใครก็ทำได้ และมีผลลัพธ์น่าพอใจอย่างมาก — ล้างหน้าด้วยน้ำเย็น

ข้อดีเด่น ของการล้างหน้าด้วยน้ำเย็น และการใช้น้ำแข็งประคบ

ล้างหน้าด้วยน้ำเย็น

1.ลดอาการอักเสบ

เมื่อผิวของเราเกิดการอักเสบ ไม่ว่าจะเกิดจาแสงแดด มลภาวะ หรือมือที่อยู่ไม่นิ่งชอบ แกะ เกา จนทำให้เกิดการอักเสบของสิว หรือผิวหน้า เราสามารถบรรเทาอาการเหล่านี้ได้ง่ายๆ นั่นคือล้างหน้าด้วยน้ำเย็น หรือการใช้น้ำแข็งประคบ เพราะจะช่วยให้ลดอาการบวม อีกทั้งอาการอักเสบ และระคายเคือง ก็จะเบาลงอย่างรวดเร็ว

การล้างหน้าด้วยน้ำเย็น

2.เลือดไหลเวียนดี

รู้หรือไม่ว่าการล้างกน้าด้วยน้ำอุ่นบ่อย เป็นต้นเหตุของการเกิดสิวผด เพราะว่าความร้อนจะไปกระตุ้มต่อมไขมันให้ขับน้ำมันออกมาเยอะกว่าปกติ เพราะฉะนั้นการล้างหน้าด้วยน้ำเย็น หรือการใช้น้ำแข็งประคบจะให้ผลที่ตรงกันข้าม

นอกจากจะช่วยลดอุณหภูมิของผิวหน้าเพื่อให้ขัยน้ำมันออกมาแล้ว ยังช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น หรือถ้าจะให้ดีก็เอาอ่างสักใบใส่น้ำกับน้ำแข็งให้เต็ม แล้วเอาหน้าลงไปแช่ รับรองว่าชื่นใจแน่นอน เราจะเห็นว่าวิธีนี้ในหนังจะทำกันบ่อย ช่วยให้ผิวกระชับได้เร็วมาก เต่งตึง และสดใสตลอดวัน

ล้างหน้าด้วยน้ำเย็นลดสิว

3.ลดตาบวม

การใช้น้ำแข็งประคบหน้ามีข้อดีช่วยลดอาการปวดรอบดวงตา ซึ่งอาจเกิดจากสาเหตุเช่น นอนดึก ร้องไห้หนัก เป็นต้น เพียงแค่เอาน้ำแข็งมาลูบบริเวณรอบตาที่บวม 10 นาที จะเห็นผลอย่างชัดเจน ตาจะค่อยยุบลงไป

น้ำเย็นล้างหน้า

4.กระชับรูขุมขน

เชื่อหรือไม่ว่าการใช้น้ำแข็งสามารถกระรูขุมขนได้ เพียงแค่นำน้ำแข็งสักก้อนมาห่อด้วยกระดาษทิชชู่ แล้วนำมาคลึงหน้าเบาๆ เพียงเท่านี้ก็คืนความสดชื่นให้ใบหน้าได้สบายๆ นอกจากจะช่วยกระชับรูขุมขน ยังช่วยให้ผิวพรรณเรียบเนียน และสามารถลดเลือนริ้วรอยต่างๆ ที่เกิดขึ้นตามวัยได้อย่างลงตัว

ใช้ล้างหน้าด้วยน้ำเย็น

5.ช่วยให้แต่งหน้าเนียนขึ้น

อย่างที่ได้บอกไปแล้วว่าน้ำแข็งสามารถช่วยให้ผิวหน้าเรียบเนียนได้ด้วยเวลาอันรวดเร็ว เพราะฉะนั้นก่อนจะแต่งหน้าคุณสามารถเอาน้ำแข็งมาลูบหน้าก่อน แล้วเช็ดให้แห้ง จากนั้นค่อยแต่งหน้า เครื่องสำอางอยู่ทนนานมากขึ้น และยังช่วยให้การแต่งหน้าง่ายขึ้นอีกด้วย

สูตรล้างหน้าน้ำเย็น

6.ผสมสูตรลับกับแตงกวา

เพียงแค่ใช้ของบ้านๆ อย่าง น้ำแตงกวา น้ำผึ้ง และน้ำมะนาว ผสมกันให้เข้าที่จากนั้นนำไปหยดลงบนพิมพ์น้ำแข็ง นำไปแช่จนกลายเป็นน้ำแข็ง ทีนี้คุณก็จะมีน้ำแข็งสูตรพิเศษกว่าใคร ที่นำมาถูวนๆ รอยใบหน้าเพื่อช่วยให้เนียนใสในราคาประหยัด แต่คุณภาพคับจอ

ล้างหน้าด้วยน้ำเย็นลดหน้าไหม้

7.บรรเทาผิวไหม้แดด

อีกหนึ่งวิธีการเสกน้ำแข็งสูตรพิเศษ ที่เอาไว้ช่วยให้ใบหน้าเรียบเนียนใส วิธีเดียวกันกับข้างบนนั่นแหละ แค่เอาเจลว่านหางจระเข้มาผสมน้ำสักหน่อย แล้วนำไปแช่ให้กลายเป็นน้ำแข็ง

จากนั้นก็นำมาถูๆ ได้ตามต้องการ เพราะสรรพคุณของว่านหางจระเข้ช่วยเรื่องผิวหน้าไหม้แดดได้เป็นอย่างดี และยังถนอมผิวได้ครอบจักนวาล

แหล่งข้อมูลอ้างอิง

  1. https://women.kapook.com/view144957.html

5 วิธีลดเลือน ขาหนีบดำ จบปัญหานี้ด้วย ครีมลบขาหนีบดำ ยี่ห้อใช้ดี ได้ผลจริง

5 วิธีลดเลือน ขาหนีบดำ จบปัญหานี้ด้วย ครีมลบขาหนีบดำ ยี่ห้อใช้ดี ได้ผลจริง

ขาหนีบดำ 5 วิธีลดเลือน จบปัญหานี้ด้วย ครีมลบขาหนีบดำ ยี่ห้อใช้ดี ได้ผลจริง ขาหนีบสีคล้ำเป็นความกังวลและไม่มั่นใจที่สาว ๆ จำนวนมากต้องพบเจอ ทำให้หมดความมั่นใจได้ สาว ๆ หลาย ๆ

คนจึงพยายามเสาะหาผลิตภัณฑ์สำหรับแก้ไขความคล้ำบริเวณขาหนีบหรือใช้ครีมบำรุงผิว บางแบรนด์ก็ได้ผลบ้าง ไม่ได้ผลบ้างมากน้อยต่างกัน เรามี 5 ผลิตภัณฑ์ครีมทาขาหนีบ ขาวขั้นเทพที่ทาแล้วได้ผลแน่นอนมาฝากกัน

วิธีลดเลือนขาหนีบดำ

1. วีวี่ สกิน รีแพร์ ครีม ลด ขาหนีบดำ

ดีงามมาก ๆ สำหรับครีมของแบรนด์ วีวี่ชิ้นนี้ เพราะช่วยลดสีคล้ำดำของขาหนีบได้อย่างกระจ่างขาวใสและคืนผิวเนียนให้กับสาว ๆ นอกจากนั้นยังแถมคุณสมบัติช่วยลดริ้วรอยแตกลายงาที่เกิดขึ้นกับช่วงต้นขาและโคนขาหนีบได้อีกด้วย

2. เฟมินิส ไวท์ ครีม

การทำงานของครีมตัวนี้จะเน้นการผลัดเซลล์ผิวบริเวณขาหนีบ ให้เซลล์ผิวที่ตายแล้วหลุดออกเผยผิวที่เนียนใสใหม่ขึ้นมา ทำให้ขาหนีบเปลี่ยนเป็นสีอ่อนลงและเนียนสวย เป็นการปรับและฟื้นฟูผิวบริเวณขาหนีบอย่างถาวรและอ่อนโยน

3. เคลียร์ ดาร์ค ดรีม  สกิน

เป็นสูตรที่คิดค้นขึ้นมาให้ครีมซึมซาบสู่ผิวได้รวดเร็วและลึกละเอียด ด้วยสูตรนาโน นอกจากใช้ทาเพื่อปรับผิวคล้ำบริเวณขาหนีบแล้วยังใช้ทาที่ก้นได้ สำหรับสาว ๆ ที่มีบั้นท้ายเป็นริ้วรอยด่างคล้ำก็จะยิ้มได้กับสีผิวบั้นท้ายที่ขาวกระจ่างและมีความเนียนสม่ำเสมอกัน

4. กวนอิม ครีมไข่มุก

เชื่อไหมว่าครีมคลาสสิคของไทยแบบกวนอิมที่มีราคาเพียงตลับละต้นหลักสิบเท่านั้นคือเคล็ดลับที่ช่วยแก้ปัญหาผิวบริเวณขาหนีบที่คล้ำดำได้อย่างดี ครีมตัวนี้เป็นครีมที่ผลิตมาเพื่อใช้ทาหน้ารักษาฝ้ากระ แต่เมื่อสาว ๆ หลาย ๆ คนได้ดัดแปลงมาใช้ทาขาหนีบกลับทำให้ขาหนีบขาวสวย จนต้องบอกต่อ กลายเป็นครีมแบรนด์ไทยสำหรับเรือนร่างที่สาว ๆ พลาดไม่ได้ไปแล้ว

5. เมลาเดิร์ม

ครีมตัวนี้คงต้องบอกว่าค่อนข้างมีราคาที่สูง แต่ว่าหนึ่งกล่องสามารถใช้ได้นานมาก เพราะบรรจุในปริมาณมากคุ้มราคาเรียกได้ว่าซื้อครั้งเดียวใช้จนลืมได้เลย ครีมทีประสิทธิภาพสูงและสารที่ประกอบอยู่สกัดจากธรรมชาติล้วน ๆ  เนื้อครีมจะเข้าไปทำการปรับสภาพของสีผิวทำให้มีสีที่อ่อนลงอย่างสม่ำเสมอ และเมื่อใช้เป็นประจำยังทำให้ผิวในบริเวณขาหนีบอ่อนนุ่มลงสำหรับใครที่มีผิวแห้งกระด้างครีมตัวนี้มีส่วนผสมของมอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่ช่วยให้ผิวอ่อนนุ่มชุ่มชื่นอีกด้วย

ขาหนีบแม้จะเป็นจุดที่ปกปิดในร่มผ้าเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็เป็นหนึ่งในวิธีทำให้ผิวขาวได้ด้วยการดูแลทาครีมอย่างสม่ำเสมอ เพราะไม่แน่ว่าในแฟชั่นกางเกงสั้นหรือชุดว่ายน่ำเซ็กซ่ที่สาว ๆ อาจต้องการใส่ในหลาย ๆ โอกาส สาว ๆ ก็จะมั่นใจในผิวที่สวยขาวไม่มีส่วนคล้ำของขาหนีบให้ต้องกังวลใจอีกต่อไป ใครที่มีปัญหาผิวคล้ำขาหนีบลองซื้อหาผลิตภัณฑ์เหล่านี้มาใช้เพื่อผิวที่สวยของคุณ

อ้างอิง:

ปัญหารอยดำ (ตามซอก) ที่ไม่อยากบอกใคร. https://www.samitivejhospitals.com/th/article/detail/ขาหนีบดำ-รอยดำ

15 โรงงานผลิตครีม มือใหม่ทำธุรกิจเกี่ยวกับครีม ควรรู้ 2561

15 โรงงานผลิตครีม มือใหม่ทำธุรกิจเกี่ยวกับครีม ควรรู้ 2561

15 โรงงานผลิตครีม มือใหม่ทำธุรกิจเกี่ยวกับครีม ควรรู้ 2561 การทำสร้างแบรนด์ครีมเป็นของตัวเอง ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่มือใหม่หลายคนชอบศึกษาและอยากทำจริงๆ

แต่ก็ยังไม่มั่นใจว่าจะใช้บริการบริษัทไหนดี โรงงานไหนดี เพราะว่าโรงงานก็มีตั้งเยอะแยะ วันนี้เราจึงมี 15 โรงงานครีม ที่เหมาะสำหรับมือใหม่ไฟแรงมากๆ มีอะไรบ้างไปดูกัน

อัพเดทข้อมูล 15 โรงงานรับผลิตครีม 22/1/2561

โรงงานรับผลิตครีม

  1. บริษัท พีซีซีเอ แล็บบอราเทอรี่ จำกัด

บริษัทนี้ เป็นบริษัทที่รับการผลิตเครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์เวชสำอาง ที่มีไว้เพื่อการดูแลรักษาผิวของเราให้ดูดีตลอดเวลา โดยมีทั้งผลิตภัณฑ์ที่รักษาได้ทั้งผิวหน้า ครีมบำรุงผิวกาย รวมไปถึงเส้นผม ซึ่งทั้งหมดเราสามารถควบคุมเป็นแบรนด์ของตัวเองได้ เรื่องความน่าเชื่อถือ โรงงานนี้ได้ถูกการันตีมาตรฐานการผลิตเครื่องสำอางมาแล้ว ทำให้เราสามารถเชื่อใจ และไว้วางใจได้เลย

  1. บริษัท ควอลิตี้ พลัส เอสเทติค อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด

นี่เป็นโรงงานที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตและยังเป็นที่ปรึกษาให้กับมือใหม่ไฟแรงอีกด้วย โดยจะเน้นไปที่ราคาขายและการตลาด ผลตอบรับจากลูกค้าซะเป็นส่วนมาก แน่นอนว่าได้รับการการันตีมาตรฐานการผลิตเครื่องสำอางมาแล้ว และโรงงานนี้ยังได้ไปเข้าร่วมการอบรมหลักสูตรทางการผลิตที่ประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย โปรไฟล์ดีมากๆ

  1. บริษัท Derma Innovation จำกัด

โรงงานนี้เรียกว่าเป็นมืออาชีพที่จะช่วยให้เราสามารถทำงาน และสร้างแบรนด์ได้อย่างสะดวกสบายยิ่งขึ้น เพราะโรงงานนี้เป็นโรงงานที่เราสามารถควบคุมการผลิตได้ด้วยตัวเอง และยังมีความชำนาญด้านการทำครีม ครีมกันแดด และเครื่องสำอางมากมาย มีการผลิตสินค้าตามมาตรฐาน โดยมีประสบการณ์การทำงานมากถึง 10 ปี ทำให้เราสามารถไว้วางใจได้แน่นอน

  1. บริษัท ปฐวิน จำกัด

ใครที่กำลังอยากทำครีม และเครื่องสำอางแนวสุขภาพ แนวรักษาบำรุงละก็ บอกเลยว่าบริษัทนี้เป็นผู้เชี่ยวชาญสุดๆ เพราะโรงงานที่นี่มีผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษา และยังได้รับรองมาตรฐานของการผลิตเครื่องสำอาง ซึ่งก็เป็นการรับรองระดับอาเซียนเลยทีเดียว ทำให้เราสามารถไว้วางใจได้แน่นอน และโรงงานนี้ยังได้รับการรับรองคุณภาพ ISO ในส่วนของเครื่องสำอางอีกด้วย

  1. บริษัท บิวตี้ อินสไปร์ กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด

รับรองว่าไม่ผิดหวังแน่นอน สำหรับใครที่กำลังอยากจะสร้างแบรนด์เครื่องสำอางเป็นของตัวเอง แล้วจะมาใช้บริการจากบริษัทนี้ เพราะที่นี่มีทั้งเทคโนโลยีที่ทันสมัย และผู้เชี่ยวชาญด้านเครื่องสำอาง และสุขภาพระดับโลกอยู่มากมาย

โดยได้รวบรวมผู้เชี่ยวจากหลายแขนง มาจากหลากหลายประเทศ แถมยังมีห้องแลปที่ช่วยในการวิจัย และพัฒนาสิ่งใหม่ๆ อีกด้วย  แน่นอนว่าได้รับมาตรฐาน GMP และ ISO แถมยังได้รับมาตรฐาน อย. และมีเครื่องหมายฮาลาลด้วย

  1. บริษัท คอสมาพรอฟ จำกัด

ใครที่มีความคิดอยากทำครีมที่บำรุงผิวหน้าให้กระจ่างใส ทำครีมรักษาสิวที่มีประสิทธิภาพที่ช่วยรักษาสิว แนะนำโรงงานนี้เลย เพราะมีคุณภาพและมาตรฐานการผลิตที่ดีมากๆ แถมยังสามารถผลิตครีมได้รวดเร็วมากๆ อีกด้วย โดยโรงงานนี้เหมือนเป็นศูนย์รวมของสุดยอดทีมงาน เพราะมีหลากหลายแผนกที่สามารถเดินเรื่องทำการค้าให้เราได้แบบครบถ้วน ตั้งแต่การผลิต ไปจนถึงการหาตลาด และยังหาลูกค้าให้เราอีกด้วย ดีมากๆ เลย

  1. บริษัท บอร์นทร้าส์ (ประเทศไทย) จำกัด

โรงงานของบริษัทนี้ จะรับผลิตครีมที่สามารถใช้ได้ทั่วทั้งตัว ตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า แน่นอนว่าใช้ส่วนผสมที่ดี มาจากธรรมชาติ โดยมีทั้งครีมพอกผิว ครีมขัดผิว ครีมหน้าขาวใส ไปจนถึงครีมเด็ก ครีมกลูต้าไวท์ เซรั่มต่างๆ และน้ำมันหอมระเหยก็มี ซึ่งก็ได้มีประสบการณ์การผลิตที่มากกว่า 14 ปี และได้รับมาตรฐาน GMP มีการส่งออกไปแล้วทั่วประเทศไทย และส่งออกไปทั่วโลกด้วย ซึ่งโรงงานนี้เราสามารถสร้างสูตรเฉพาะของเราเองได้ด้วย

  1. ทีมงาน Balle Continental

บอกไว้ก่อนเลยว่า ทีมงานนี้ ขึ้นชื่อในเรื่องของยา ครีมเสริมผิวขาวเป็นอย่างมาก เพราะมีประสบการณ์การทำงานมากถึง 10 ปี โดยผลิตทั้งเครื่องสำอาง และยาอาหารเสริมที่ได้มาตรฐาน GMP ทำให้มั่นใจในประสิทธิภาพได้แน่นอน แถมยังได้จดทะเบียน อย. อีกด้วย

โดยลูกค้าประจำของแบรนด์นี้ก็มีตั้งแต่ชาวไทย ไปจนถึงเขตเอเชียอย่าง ญี่ปุ่น จีน เกาหลี และยังได้ผลิตส่งออกไปในแถบยุโรปอีกด้วย ซึ่งก็มีทีมงานคุณภาพอยู่มากมาย รับรองว่าปลอดภัยหายห่วงแน่นอน

  1. บริษัท อาโมนิโอโซ เอ็นเตอร์ไพรซ์ จำกัด

สำหรับโรงงานนี้ บอกไว้ก่อนเลยว่ามีประสบการณ์การทำงานมากถึง 15 ปี โดยจะมีความโดดเด่น ในเรื่องของการทำทำอาหารเสริม และครีมที่ได้คุณภาพดี โดยทางโรงงานนี้การให้บริการที่อยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาก และนอกจากนี้ยังมีบริการรับผลิตครีม ตามใจลูกค้าอีกด้วย แน่นอนว่าได้คุณภาพมาตรฐาน GMP แน่นอน ทำให้โรงงานนี้มีลูกค้าแวะเวียนมาใช้บริการมากมาย

  1. บริษัท พรีมา แคร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด

นี่เป็นบริษัทที่จะช่วยให้เราสามารถสร้างแบรนด์ครีมได้ด้วยตัวเอง โรงงานของบริษัทนี้ สามารถผลิตครีม ผลิตเครื่องสำอาง อายครีม อายไลน์เนอร์กันน้ำ และผลิตอาหารเสริม ได้ภายในโรงงานเดียว ซึ่งโรงงานนี้ก็มีความสามารถในการผลิตครีม และหาลูกค้าให้ได้อย่างครบวงจร และยังได้มาตรฐาน GMP และ ISO อีกด้วย โดยมีจุดเด่นคือการผลิตที่รวดเร็ว และยังได้มาตรฐานที่ดีมากๆ อีกด้วย โดยบริษัทนี้ยังได้รับการรับรองจากฮาลาลอีกด้วย

  1. บริษัท Herbal Majestic จำกัด

นี่เป็นบริษัทที่รับทำครีม โดยมีการทำงานการผลิตในระดับมาตรฐานสากล และยังสามารถสั่งได้ทุกๆ ความต้องการ และเราสามารถลงทุนการซื้อขาย ในจำนวนเงินที่ต่ำได้ด้วย เผื่อลองตลาดว่าจะเป็นไปในทางไหน ถ้าขายดีก็อาจจะสั่งเพิ่มก็ได้ โดยการผลิตครีมของโรงงานนี้ ก็ได้มีการคิดค้นสิ่งใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา และยังมีทีมงานที่ช่วยในการทำตลาด และจัดหาโปรโมชั่นอีกมากมาย มาที่เดียวจบจริงๆ บริษัทนี้

  1. บริษัท Nzentec Corporation จำกัด

บริษัทนี้เป็นโรงงานที่ทำงานอยู่ภายใต้รชะดับมาตรฐานสากล โดยสามารถครอบคลุมได้ทุกความต้องการของการทำงาน และยังมีการดูแลลูกค้าแบบครบวงจรอีกด้วย โดยบริษัทนี้เป็นจะรับผลิตทั้ง ครีมผิวหน้า ครีมผิวกาย ครีมหน้าขาว และทุกอย่างตามที่ลูกค้าต้องการ จาก สารสกัดครีมทาหน้า คุณภาพ โดยจะมีทีมงานทำงานอยู่มากมาย คอยประสานงานให้ เพียงแค่เราออกคำสั่งไป ผลิตภัณฑ์เราก็ออกสู่ตลาดเรียบร้อยแล้ว ถือว่าครบวงจรมากๆ

  1. บริษัทTF Cosmetology จำกัด

นี่เป็นบริษัทที่ทำงานเป็นเบื้องหลังด้านความสวยความงาม มาอย่างยาวนาน และยังได้มาตรฐานครบถ้วน ทั้ง ISO และ มาตรฐาน GMP อีกด้วย แต่สิ่งที่สามารถครองใจลูกค้าไปได้คือ โรงงานนี้สามารถสั่งทำการผลิตจากโรงงานที่ฝรั่งเศส และอิตาลี ได้โดยตรง ซึ่งก็เป็นตัวเลือกที่ทำให้ผู้คนหันมาสนใจบริการของบริษัทนี้มากขึ้น แน่นอนว่าเรื่องของราคาก็ต้องสูงขึ้นนิดนึง แต่ถ้านึกถึงการตลาดแล้วละก็ คุ้มแน่นอน

  1. Kovic Kate International Thailand

สำหรับโรงงานนี้เป็นโรงงานที่เน้นการผลิตในส่วนของครีมบำรุงผิวหน้า และครีมหน้าใส นอกจากนี้ยังรับผลิตยาลดน้ำหนัก ครีมสมุนไพร อีกด้วย ซึ่งเป็นบริษัทที่กระบวนการผลิตที่ครบถ้วนมากๆ และเน้นไปที่ความสวยความงามเป็นหลัก อีกทั้งยังรับสำสบู่เพื่อความงามอีกด้วย ทำให้บริษัทนี้มีลูกค้ามากมายจริงๆ

  1. THE LITA BEAUTY

ใครที่มีงบน้อย แต่อยากสร้างแบรนด์เป็นของตัวเอง ก็ให้มาทำกับบริษัทนี้ได้เลย และยิ่งใครที่อยากทำครีมสูตรตัวเองละก็  สามารถมาเสนอให้ลิตาบิวตี้ได้ แน่นอนว่ากระบวนการการผลิตก็ได้รับมาตรฐานจาก อย. แน่นอน ทำให้มั่นใจได้เลยว่า ปลอดภัยแน่นอน โดยใครที่มีงบอยู่ประมาณ 15000 บาท ท่านก็สามารถมาใช้บริการและเริ่มจำหน่ายสินค้าได้แล้ว ถูกและดี มีจริงในโลก จะบอกให้!

5 ครีมโกนหนวดยี่ห้อดี ๆ ครีมใช้โกนหนวดที่ไม่เคยทำให้หนุ่ม ๆ ผิดหวัง

5 ครีมโกนหนวดยี่ห้อดี ๆ ครีมใช้โกนหนวดดี ๆ ที่ไม่เคยทำให้หนุ่ม ๆ ผิดหวัง

5 ครีมโกนหนวดยี่ห้อดี ๆ ครีมใช้โกนหนวดดี ๆ ที่ไม่เคยทำให้หนุ่ม ๆ ผิดหวัง สิ่งที่ผู้ชายมักจะต้องทำทุก ๆ เช้า เช่นเดียวกับกาแปรงฟันและล้างหน้า นั่นก็คือเรื่องของการโกนหนวด เพราะผู้ชายสมัยนี้ให้ความสำคัญกับบุคลิกและหน้าตามากพอ ๆ กับผู้หญิง

และอุปกรณ์สำคัญที่ขาดไม่ได้ในการโกนหนวดแต่ละเช้านอกจากที่โกนหนวดแล้วก็คือครีมโกนหนวด ผลิตภัณฑ์ครีมโกนหนวดมีขายอยู่มากมายหลายแบรนด์ แล้วแบรนด์ไหน รุ่นไหนที่ถูกใจหนุ่ม ๆ จนต้องจัดให้เป็นสุดยอด Topten เราลองมาดูด้วยกัน

ครีมโกนหนวด

1. ครีมโกนหนวดยี่ห้อดี ๆ คาแรงค์ เมน สมู้ท เชฟ

ถ้าใครที่ชอบครีมโกนหนวดในรูปแบบของเจลที่เน้นความชุ่มชื่น คุณจะต้องชอบครีมโกนหนวดขวดนี้ของคาแรงค์ที่ทำมาสำหรับคุณผู้ชายที่มีผิวค่อนข้างแห้ง สัมผัสให้ความรู้สึกเย็นด้วยส่วนผสมของ Bison Grass และยังเนื้อเจลมีความนุ่มหนาที่ให้ความรู้สึกสบาย ที่สำคัญยังช่วยลดความกระด้างแข็งของหนวดที่ขึ้นใหม่ให้นุ่มลงได้อย่างดีอีกด้วย

2. จิลเล็ต แมช 3 อินลิเทชั่น ดีเฟนท์

ใครก็รู้ว่า ผลิตภัณฑ์ของ จิลเล็ตนั้นพัฒนามาสำหรับนวตกรรมของการโกนหนวดโดยตรง เช่นเดียวกับโฟมโกนหนวดที่มาในรูปแบบของเนื้อมูสโฟม มีสารป้องกันการระคายเคืองที่เกิดแก่ผิวหนังของหนุ่ม ๆ เมื่อโดนความกระด้างของมีดโกน ช่วยบำรุงผิวบริเวณไรหนวดให้มีสุขภาพดี คุณจะรู้สึกถึงความชุ่มชื่นรูขุมขนและเย็นสบาย แต่นอกจากการใช้ครีมโกนหนวดดี ๆ แล้วก็อย่าลืมการล้างหน้าที่ถูกวิธีด้วย เพราะจะช่วยทำให้ใบหน้าของคุณผู้ชายดีขึ้นได้

3. นีเวีย เมนส์ มอยส์เจอไรซิ่ง เชฟวิ่งโฟม

ด้วยนวัตกรรมที่มีชื่อว่า Ultra Glide ที่จะทำให้การโกนหนวดของคุณหนุ่ม ๆ กลายเป็นเรื่อง ง่าย ๆ สามารถโกนได้อย่างลื่นไหลไม่มีสะดุด ไม่เกิดบาดแผลหรือการระคายเคืองและยังมีส่วนผสมของมอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่ทำให้ผิวชุ่มชื่นบำรุงผิวไม่ให้กร้าน ผิวเนียนเรียบไม่มีปัญหารูขุมขน แม้จะเป็นผู้ชายก็ต้องมีการเลือกใช้ครีมที่ถูกต้องและให้เหมาะกับสภาพผิวเหมือนกัน

4. คลีนิกส์ ฟอร์ เมนส์ อโรว์ เชฟ เจล

เจลโกนหนวดที่เหมาะกับหนุ่ม ๆ ที่มีปัญหาผิวมัน เพราะเจลโกนหนวดขวดนี้ของคลีนิกส์ มีส่วนผสมของอโรเวลล่า หรือก็คือว่านหางจระเข้ที่ช่วยให้ความชุ่มชื่นแต่ไม่มีส่วนผสมของสารที่ก่อให้เกิดความมันระหว่างวัน ช่วยขจัดและลดปัญหาหน้ามันได้ ล้างออกง่าย

5. อาทิสตรี้ เมนส์ สมู้ท เชฟ โฟม

อีก 1 ผลิตภัณฑ์ครีมโกนหนวดที่ทำมาเอาใจและดูแลผู้ชายที่มักมีปัญหาผิวมันกันส่วนมาก ด้วยเจลว่านหางจระเข้สูตรเฉพาะของ อาทิสตรี้ และยังมีส่วนผสมสารสกัดพิเศษจากเชียร์บัตเตอร์ธรรมชาติ ยิ่งช่วยบำรุงหลังการโกนได้อย่างเกลี้ยเกลาและลื่นไหล ไม่ฝากรอยแผลไว้ให้ เชียร์บัตเตอร์เข้มข้นจะช้วยลดอาการระคายเคืองที่เกิดจากใบมีดสัมผัสกับผิว ผิวจึงไม่บอบช้ำเป็นขุย

เพียงหนุ่ม ๆ เลือกผลิตภัณฑ์ครีมโกนหนวดที่เหมาะกับสภาพผิวของแต่ละคน ปัญหาการโกนหนวดที่ทิ้งร่องรอยและความยุ่งยากใจไว้กับผิวก็จะหมดไป รวมถึงเลือกใช้ครีมทาหน้าผู้ชายให้เหมาะกับสภาพผิวด้วย แม้จะเป็นผิวของผู้ชายก็ต้องการการดูแลไม่แพ้ผิวสาว ๆ เช่นกัน

อ้างอิง:

รวมครีมโกนหนวดผู้ชาย 2023 ยี่ห้อไหนดี ฟองนุ่มเนียน ไม่ระคายผิว. https://sport.trueid.net/detail/gWagONxL18NK

สำรวจ 6 ครีมโกนหนวด ตัวช่วยที่จะทำให้การโกนหนวดสมูทและง่ายยิ่งขึ้น. https://www.gqthailand.com/style/article/shaving-cream