ผิวอักเสบ ทำยังไงดี ? เคล็ดลับการดูแลผิวและป้องกัน

ผิวอักเสบเป็นปัญหาผิวที่พบได้บ่อยและสร้างความรำคาญใจให้กับหลายคน ไม่ว่าจะเกิดจากการติดเชื้อ การแพ้สารเคมี หรือแม้กระทั่งสภาพอากาศและมลภาวะ การมีผิวอักเสบไม่เพียงแต่ทำให้ผิวดูไม่สวยงาม แต่ยังอาจทำให้รู้สึกไม่สบายตัวและส่งผลกระทบต่อความมั่นใจของเราอีกด้วย ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปรู้จักกับสาเหตุของ ผิวอักเสบ และประเภทต่างๆ ของผิวอักเสบ พร้อมทั้งเคล็ดลับการดูแลผิวที่อักเสบให้กลับมาสุขภาพดี และวิธีการป้องกันไม่ให้เกิดผิวอักเสบขึ้นอีก มาค้นหาวิธีการดูแลผิวที่ถูกต้องและได้ผล เพื่อให้คุณมีผิวที่สุขภาพดีและสวยงามตลอดเวลา


สาเหตุของ ผิวอักเสบ เกิดจากอะไร ?

สาเหตุของ ผิวอักเสบ เกิดจากอะไร ?

ผิวอักเสบเป็นปัญหาผิวหนังที่สามารถพบได้บ่อยในทุกช่วงอายุ ไม่ว่าจะเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ หรือผู้สูงอายุ ความไม่สบายจากการอักเสบของผิวหนังสามารถทำให้เรารู้สึกคัน บวมแดง และเกิดอาการระคายเคือง การเข้าใจถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดผิวอักเสบเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้เราสามารถดูแลและป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นได้ง่าย โดยสาเหตุของผิวอักเสบส่วนใหญ่มีดังนี้

1. การติดเชื้อ

  • แบคทีเรีย: การติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น การติดเชื้อ Staphylococcus aureus สามารถทำให้ผิวหนังเกิดการอักเสบและบวมแดง
  • ไวรัส: ไวรัสบางชนิด เช่น Herpes Simplex Virus (HSV) สามารถทำให้เกิดผื่นและตุ่มน้ำบนผิวหนัง โดยมีการติดเชื้อ HSV ประมาณ 67% ของประชากรโลก

2. การแพ้สารเคมีและผลิตภัณฑ์ต่างๆ

  • เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ดูแลผิว: สารเคมีในเครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์ดูแลผิวบางชนิดอาจทำให้เกิดการระคายเคืองและผิวอักเสบ
  • สารเคมีในสิ่งแวดล้อม: การสัมผัสกับสารเคมีต่างๆ เช่น น้ำยาทำความสะอาด สารซักล้าง หรือสารเคมีในอากาศ ก็สามารถทำให้เกิดผิวอักเสบได้

3. สภาพอากาศและมลภาวะ

  • แสงแดด: การเผชิญกับแสงแดดโดยไม่มีการป้องกันสามารถทำให้ผิวไหม้และอักเสบ
  • มลภาวะในอากาศ: ฝุ่นละอองและสารมลพิษในอากาศสามารถกระตุ้นให้เกิดการอักเสบของผิวหนัง

4. ภาวะทางผิวหนัง

  • ผิวแห้ง: ผิวแห้งเกินไปสามารถทำให้ผิวหนังเกิดการระคายเคืองและอักเสบได้ง่าย หรือปัญหาผิวคนอ้วนที่ทำให้ผิวมีปัญหามากกว่าปกติ
  • ภาวะทางพันธุกรรม: บางคนมีภาวะผิวหนังที่อ่อนไหวต่อการอักเสบเนื่องจากพันธุกรรม เช่น โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis) หรือโรคผื่นแพ้สัมผัส (Atopic Dermatitis)

5. ปัจจัยทางพฤติกรรมและวิถีชีวิต

  • การถูและเกา: การถูหรือเกาผิวหนังบ่อยๆ สามารถทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองและอักเสบ
  • การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะสม: การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะสมกับสภาพผิวของตนเองสามารถทำให้ผิวหนังเกิดการอักเสบ เช่นครีมสำหรับคนอ้วนควรเน้นความชุ่มชื้นเป็นพิเศษ ซึ่งหาเลือกครีมที่ทำให้ผิวแห้งก็จะยิ่งทำให้ผิวมีปัญหาเป็นต้น โดยมีการรายงานว่าประมาณ 25% ของผู้ที่ใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวไม่เหมาะสมมักมีปัญหาผิวอักเสบ

ประเภทของผิวอักเสบ

ประเภทของผิวอักเสบ

ผิวอักเสบสามารถแบ่งออกได้เป็นหลายประเภทตามสาเหตุที่ทำให้เกิด ซึ่งแต่ละประเภทมีลักษณะและอาการที่แตกต่างกันไป การรู้จักประเภทของผิวอักเสบจะช่วยให้เราสามารถดูแลผิวได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม ดังนี้

1. ผิวอักเสบจากการติดเชื้อ

  • สิว (Acne): เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียในรูขุมขน ซึ่งทำให้เกิดการอักเสบและการอุดตันของต่อมไขมัน อาจมีลักษณะเป็นตุ่มแดง ตุ่มหนอง หรือสิวหัวดำ
  • โรซาเซีย (Rosacea): เป็นภาวะผิวหนังอักเสบเรื้อรังที่มักพบในบริเวณหน้า ลักษณะเด่นคือผิวหน้าจะแดง ตุ่มเล็กๆ และเส้นเลือดฝอยที่ขยายตัว

2. ผิวอักเสบจากการแพ้

  • ผื่นแพ้สัมผัส (Contact Dermatitis): เกิดจากการสัมผัสสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองหรือแพ้ เช่น สารเคมีในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดหรือเครื่องสำอาง ลักษณะผื่นจะแดง คัน และอาจมีตุ่มน้ำ
  • ผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง (Eczema): เป็นภาวะที่เกิดจากการแพ้และมีการอักเสบของผิวหนัง ลักษณะผื่นจะคัน แดง แห้ง และอาจมีรอยแตก

3. ผิวอักเสบจากภาวะทางผิวหนัง

  • โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis): เป็นภาวะที่ผิวหนังมีการสร้างเซลล์ผิวใหม่เร็วเกินไป ทำให้เกิดการสะสมของเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ทำให้ผิวหนังหนา เป็นสะเก็ด และมีอาการคัน
  • โรคผื่นผิวหนังเซ็บบอเรอิก (Seborrheic Dermatitis): เป็นภาวะผิวหนังอักเสบเรื้อรังที่พบในบริเวณที่มีต่อมไขมันมาก เช่น หนังศีรษะ ใบหน้า และหน้าอก ลักษณะผื่นจะมีสีแดง คัน และมีสะเก็ดสีเหลืองหรือขาว

การดูแลผิวอักเสบ

การดูแลผิวอักเสบ

1. การทำความสะอาดผิว

  • การเลือกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่เหมาะสม: ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีสูตรอ่อนโยน ไม่มีสารเคมีที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองหรือแพ้ ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารสกัดธรรมชาติหรือมี pH สมดุลจะเหมาะสำหรับผิวที่อักเสบ
  • วิธีการทำความสะอาดผิวอย่างถูกต้อง: ล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นเบาๆ หลีกเลี่ยงการใช้ผ้าขนหนูถูแรงๆ เพราะอาจทำให้ผิวระคายเคือง ควรใช้มือถูเบาๆ และทำความสะอาดในลักษณะเป็นวงกลม นอกจากนี้ ควรล้างหน้าให้สะอาดทั้งเช้าและเย็นเพื่อขจัดสิ่งสกปรกและน้ำมันที่สะสม

2. การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว

  • ครีมบำรุงและมอยส์เจอไรเซอร์ที่เหมาะสม: เลือกใช้ครีมบำรุงที่มีส่วนผสมของมอยส์เจอไรเซอร์ที่ให้ความชุ่มชื้นสูงและปราศจากสารก่อภูมิแพ้ เพราะช่วยให้ผิวแข็งแรงมากขึ้นและเป็นตัวช่วยที่ดีในการลดรอยแตกลายได้ด้วย สารอาหารผิวที่ควรมองหา เช่น ครีมที่มีส่วนผสมของเซราไมด์ ไฮยาลูรอนิก แอซิด หรืออโลเวรา
  • สารสกัดจากธรรมชาติที่ช่วยลดการอักเสบ: สารสกัดจากธรรมชาติที่มีคุณสมบัติช่วยลดการอักเสบ เช่น สารสกัดจากชาเขียว ว่านหางจระเข้ คาโมไมล์ และน้ำมันทีทรี สามารถช่วยบรรเทาอาการอักเสบและทำให้ผิวรู้สึกสบายขึ้น

3. การรักษาทางการแพทย์

  • การใช้ยาทาภายนอก: ในบางกรณี การใช้ยาทาภายนอกที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์หรือยาปฏิชีวนะอาจจำเป็นในการรักษาผิวอักเสบ แต่อย่างไรก็ตาม การใช้ยาต้องอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์เพื่อป้องกันผลข้างเคียง
  • การรับคำปรึกษาจากแพทย์ผิวหนัง: หากอาการผิวอักเสบไม่ดีขึ้นหรือมีความรุนแรง ควรพบแพทย์ผิวหนังเพื่อรับคำปรึกษาและการรักษาที่เหมาะสม แพทย์อาจแนะนำวิธีการรักษาเพิ่มเติม เช่น การใช้ยารับประทานหรือการทำทรีทเมนต์เฉพาะทาง

การป้องกันผิวอักเสบ

การป้องกันผิวอักเสบ

1. การหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้

  • การตรวจสอบและหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีสารก่อภูมิแพ้: ควรอ่านฉลากผลิตภัณฑ์ก่อนการใช้งานเพื่อดูส่วนผสมที่อาจก่อให้เกิดการแพ้ เช่น สารเคมีที่มีส่วนผสมของน้ำหอม พาราเบน หรือซัลเฟต หากพบว่าผลิตภัณฑ์มีสารเหล่านี้ควรหลีกเลี่ยง
  • การเปลี่ยนมาใช้ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ: ผลิตภัณฑ์ที่มาจากธรรมชาติมักมีส่วนผสมที่อ่อนโยนต่อผิว เช่น น้ำมันมะพร้าว น้ำมันอาร์แกน หรืออโลเวรา ซึ่งสามารถช่วยลดโอกาสในการเกิดผิวอักเสบ

2. การรักษาความสะอาดของผิว

  • การล้างหน้าให้สะอาดก่อนนอน: ควรล้างหน้าให้สะอาดทุกคืนเพื่อขจัดสิ่งสกปรก น้ำมัน และเครื่องสำอางที่สะสมตลอดทั้งวัน การใช้คลีนเซอร์ที่อ่อนโยนจะช่วยรักษาความสะอาดของผิวและลดการอักเสบ
  • การเปลี่ยนผ้าขนหนูและปลอกหมอนบ่อยๆ: ผ้าขนหนูและปลอกหมอนสามารถสะสมเชื้อแบคทีเรียและสิ่งสกปรกได้ การเปลี่ยนผ้าขนหนูและปลอกหมอนอย่างสม่ำเสมอจะช่วยลดการสัมผัสกับสิ่งเหล่านี้และป้องกันการอักเสบของผิว

3. การป้องกันจากแสงแดด

  • การใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูง: แสงแดดสามารถทำลายผิวและกระตุ้นให้เกิดการอักเสบได้ ควรใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปทุกครั้งก่อนออกจากบ้าน แม้ในวันที่ไม่มีแดดก็ตาม
  • การสวมใส่เสื้อผ้าที่ป้องกันแสงแดด: การใส่เสื้อผ้าที่ปกปิดผิวและมีค่า UPF (Ultraviolet Protection Factor) จะช่วยป้องกันการกระทบของแสงแดดบนผิวโดยตรง นอกจากนี้การสวมหมวกและแว่นตากันแดดก็เป็นการป้องกันเพิ่มเติม

4. การรักษาสุขภาพทั่วไป

  • การดื่มน้ำเพียงพอ: น้ำเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยรักษาความชุ่มชื้นของผิว ควรดื่มน้ำอย่างน้อย 8 แก้วต่อวันเพื่อให้ผิวมีความชุ่มชื้นและลดการอักเสบ
  • การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และสมดุล: การรับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง เช่น ผักผลไม้ ปลา และธัญพืช จะช่วยให้ผิวแข็งแรงและลดการอักเสบ
  • การนอนหลับให้เพียงพอ: การนอนหลับเป็นเวลาที่ร่างกายและผิวได้พักผ่อน ควรนอนหลับอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อคืนเพื่อให้ผิวมีเวลาในการฟื้นฟูและซ่อมแซม

การดูแล ผิวอักเสบ ต้องอาศัยมีความรู้และปฏิบัติตามเคล็ดลับที่ถูกต้อง ผิวของเราก็สามารถกลับมาสุขภาพดีได้อีกครั้ง การทำความสะอาดผิวอย่างถูกวิธี การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะสม และการรักษาความสะอาด ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยลดการอักเสบและป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีก อย่าลืมว่า การป้องกันย่อมดีกว่าการรักษา การหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ รักษาความสะอาดของผิว ป้องกันจากแสงแดด และรักษาสุขภาพทั่วไป เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันผิวอักเสบ นอกจากนี้ หากคุณมีปัญหาผิวที่รุนแรงหรือไม่หายขาด ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อรับคำแนะนำและการรักษาที่เหมาะสม


คำถามที่พบบ่อย

1. ผิวอักเสบเกิดจากอะไรได้บ้าง?

ผิวอักเสบสามารถเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น การติดเชื้อแบคทีเรียและไวรัส การแพ้สารเคมีหรือผลิตภัณฑ์ดูแลผิวบางชนิด การเผชิญกับสภาพอากาศที่รุนแรงหรือมลภาวะ นอกจากนี้ ปัจจัยทางพันธุกรรมและการใช้ชีวิตประจำวันก็สามารถมีส่วนทำให้เกิดผิวอักเสบได้เช่นกัน

2. ฉันควรใช้ผลิตภัณฑ์อะไรในการดูแลผิวอักเสบ?

การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนและไม่มีสารก่อภูมิแพ้เป็นสิ่งสำคัญ ควรใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มี pH สมดุลและครีมบำรุงที่มีส่วนผสมของมอยส์เจอไรเซอร์ นอกจากนี้ การใช้ครีมที่มีส่วนผสมของสารสกัดธรรมชาติที่ช่วยลดการอักเสบ เช่น ว่านหางจระเข้หรือชาเขียว ก็เป็นทางเลือกที่ดี

3. มีวิธีป้องกันไม่ให้ผิวอักเสบกลับมาอีกหรือไม่?

การป้องกันผิวอักเสบสามารถทำได้โดยการรักษาความสะอาดของผิว หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีรุนแรง ป้องกันผิวจากแสงแดดด้วยการใช้ครีมกันแดดที่มี SPF สูง และรักษาสุขภาพทั่วไปให้ดี เช่น การดื่มน้ำเพียงพอ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และการนอนหลับให้เพียงพอ

4. ควรปรึกษาแพทย์เมื่อใดถ้าผิวอักเสบไม่ดีขึ้น?

หากผิวอักเสบของคุณไม่ดีขึ้นหลังจากใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวตามที่แนะนำ หรือมีอาการรุนแรงขึ้น เช่น การบวมแดง คัน หรือมีตุ่มหนอง ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อรับคำแนะนำและการรักษาที่เหมาะสม อาจจะต้องใช้ยาทาภายนอกหรือยารับประทานเพื่อช่วยลดการอักเสบ


อ้างอิง

วิธีลดรอยแตกลาย พร้อมเทคนิคกระชับผิวสวย

รอยแตกลายเป็นปัญหาผิวที่หลายคนพบเจอ โดยเฉพาะผู้ที่ผ่านการตั้งครรภ์ การเปลี่ยนแปลงน้ำหนักอย่างรวดเร็ว หรือการเจริญเติบโตในวัยรุ่น รอยแตกลายอาจทำให้เราขาดความมั่นใจในการเปิดเผยผิวหนังส่วนต่างๆ อย่างไรก็ตาม ปัญหานี้สามารถแก้ไขได้ด้วยวิธีการที่ถูกต้องและการดูแลผิวอย่างเหมาะสม นอกจากการลดรอยแตกลายแล้ว การกระชับผิวให้สวยและเรียบเนียนก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เรามีความมั่นใจมากยิ่งขึ้นในบทความนี้ เราจะพาคุณไปรู้จักกับสาเหตุของรอยแตกลาย วิธีลดรอยแตกลาย รวมถึงเทคนิคในการกระชับผิวให้สวยและสุขภาพดี หากคุณกำลังมองหาวิธีที่จะดูแลผิวพรรณของคุณให้กลับมาสวยงามและเรียบเนียนอีกครั้ง บทความนี้คือคำตอบที่คุณต้องการ


สาเหตุของรอยแตกลาย

สาเหตุของรอยแตกลาย

1. การเปลี่ยนแปลงน้ำหนักอย่างรวดเร็ว

เมื่อร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงน้ำหนักอย่างรวดเร็ว เป็นปัญหาผิวคนอ้วนที่พบบบ่อย ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มหรือลดน้ำหนัก ผิวหนังจะต้องขยายหรือหดตัวตามการเปลี่ยนแปลงนี้ ซึ่งสามารถทำให้เกิดรอยแตกลายได้ เนื่องจากผิวหนังไม่สามารถยืดหยุ่นได้ทันกับการเปลี่ยนแปลงนั้น จากการวิจัยพบว่า ผู้ที่มีการเปลี่ยนแปลงน้ำหนักมากกว่า 10% ของน้ำหนักตัวเดิมภายในระยะเวลา 3-6 เดือน จะมีโอกาสเกิดรอยแตกลายสูงขึ้นถึง 50%

2. การตั้งครรภ์

การตั้งครรภ์เป็นช่วงเวลาที่ร่างกายมีการขยายตัวอย่างมาก โดยเฉพาะบริเวณหน้าท้อง สะโพก และเต้านม ทำให้ผิวหนังต้องยืดขยายเพื่อรองรับการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ จึงเกิดรอยแตกลายขึ้นได้บ่อยในช่วงนี้ จากการศึกษาพบว่า ผู้หญิงตั้งครรภ์ประมาณ 90% จะมีรอยแตกลายในช่วงไตรมาสที่สามของการตั้งครรภ์

3. การเจริญเติบโตในวัยรุ่น

ในช่วงวัยรุ่น ร่างกายจะมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งรวมถึงการขยายตัวของกล้ามเนื้อและการเพิ่มน้ำหนักตัว ทำให้ผิวหนังต้องยืดออกเพื่อรองรับการเจริญเติบโตนี้ จึงทำให้เกิดรอยแตกลายได้

4. การใช้ยาหรือฮอร์โมนบางชนิด

การใช้ยาหรือฮอร์โมนบางชนิด เช่น สเตียรอยด์ สามารถส่งผลให้ผิวหนังบางลงและสูญเสียความยืดหยุ่น ทำให้เกิดรอยแตกลายได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ ยาที่มีผลต่อฮอร์โมนในร่างกาย เช่น ยาคุมกำเนิด ก็สามารถเพิ่มโอกาสในการเกิดรอยแตกลายได้


วิธีลดรอยแตกลาย

วิธีลดรอยแตกลาย

1. การใช้ครีมและโลชั่นที่มีส่วนผสมของวิตามิน A, E, และ C

  • วิตามิน A: ช่วยในการกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวใหม่ ลดรอยแตกลายและรอยเหี่ยวย่น ผลิตภัณฑ์ที่นิยมได้แก่ เรตินอลครีม
  • วิตามิน E: มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ เป็นครีมสำหรับคนอ้วนและผิวที่มีปัญหาแห้ง เพราะช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ลดรอยแดงและรอยแตกลาย ผลิตภัณฑ์ที่นิยมได้แก่ โลชั่นที่มีวิตามิน E สูง
  • วิตามิน C: ช่วยในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ลดรอยหมองคล้ำและเพิ่มความกระจ่างใสของผิว ผลิตภัณฑ์ที่นิยมได้แก่ เซรั่มวิตามิน C

2. การทำทรีตเมนต์เลเซอร์

  • ขั้นตอนและประสิทธิภาพของการรักษา: ทรีตเมนต์เลเซอร์ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิว ทำให้รอยแตกลายลดเลือนและผิวดูเรียบเนียนขึ้น
  • การดูแลหลังการทำเลเซอร์: หลีกเลี่ยงการโดนแดด ใช้ครีมบำรุงผิวและครีมกันแดดที่มี SPF สูง และงดการใช้น้ำร้อนหรือสารเคมีที่อาจทำให้ผิวระคายเคือง

3. การใช้น้ำมันธรรมชาติ เช่น น้ำมันมะพร้าว น้ำมันอัลมอนด์

  • ประโยชน์และวิธีการใช้: น้ำมันธรรมชาติเหล่านี้ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและลดการระคายเคือง ลดผิวอักเสบ เพียงแค่นวดน้ำมันลงบนผิวบริเวณที่มีรอยแตกลายเป็นประจำทุกวัน

4. การใช้น้ำมันหอมระเหยที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน

  • ประโยชน์ของน้ำมันหอมระเหยบางชนิด: น้ำมันหอมระเหย เช่น น้ำมันลาเวนเดอร์ น้ำมันโรสฮิป มีคุณสมบัติกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและลดรอยแตกลาย เพียงแค่ผสมน้ำมันหอมระเหยกับน้ำมันพืชพื้นฐานแล้วนวดลงบนผิว

5. การใช้กรดไกลโคลิกหรือกรดผลไม้ (AHA)

  • วิธีการใช้และผลลัพธ์ที่คาดหวัง: กรดไกลโคลิกช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าออก ทำให้ผิวดูเรียบเนียนและรอยแตกลายลดเลือน ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความเข้มข้นเหมาะสมและไม่ระคายเคืองผิว

6. การนวดผิวเพื่อลดรอยแตกลาย

  • เทคนิคการนวดและอุปกรณ์ที่ช่วยในการนวด: การนวดผิวช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน สามารถใช้อุปกรณ์นวดหรือใช้มือในการนวดเบา ๆ บนผิวบริเวณที่มีรอยแตกลาย ควรทำเป็นประจำทุกวันเพื่อผลลัพธ์ที่ดีขึ้น

เทคนิคกระชับผิวสวย

เทคนิคกระชับผิวสวย

1. การออกกำลังกายที่เน้นการกระชับผิว: การยกน้ำหนักช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อและทำให้ผิวหนังดูกระชับขึ้น ในขณะที่การทำโยคะช่วยยืดหยุ่นกล้ามเนื้อและผิวหนัง รวมถึงช่วยลดความเครียดที่อาจส่งผลให้ผิวดูเหนื่อยล้า การออกกำลังกายประเภทนี้ควรทำเป็นประจำอย่างน้อย 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์เพื่อผลลัพธ์ที่ดี

2. การดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวัน: น้ำเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและดูอ่อนเยาว์ การดื่มน้ำอย่างน้อย 8 แก้วต่อวันจะช่วยล้างสารพิษออกจากร่างกายและเสริมสร้างเซลล์ผิวใหม่ได้ดี ควรพกขวดน้ำติดตัวตลอดเวลาและดื่มน้ำเป็นประจำทุกๆ 1-2 ชั่วโมง

3. การรับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ: สารต้านอนุมูลอิสระช่วยปกป้องผิวจากการถูกทำลายโดยอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดริ้วรอยและผิวหมองคล้ำ อาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ได้แก่ ผลไม้เบอร์รี่ ชาเขียว ผักใบเขียวเข้ม ถั่ว และธัญพืช การรับประทานอาหารเหล่านี้เป็นประจำจะช่วยให้ผิวดูสุขภาพดีและกระจ่างใส

4. การนอนหลับพักผ่อนที่เพียงพอ: การนอนหลับเป็นเวลาที่ร่างกายซ่อมแซมและฟื้นฟูเซลล์ผิว การนอนหลับไม่เพียงพอสามารถทำให้ผิวดูหมองคล้ำและเกิดรอยเหี่ยวย่นได้ ควรนอนหลับอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อคืน เพื่อให้ผิวได้รับการฟื้นฟูอย่างเต็มที่ เทคนิคการนอนหลับให้ดีขึ้นรวมถึงการสร้างบรรยากาศที่เงียบสงบ ปิดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ก่อนนอน และรักษาตารางการนอนหลับให้เป็นประจำ


วิธีลดรอยแตกลาย และการกระชับผิวสวยไม่ใช่เรื่องยาก หากเราใส่ใจและดูแลผิวพรรณอย่างต่อเนื่อง การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติเหมาะสม การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การออกกำลังกาย และการพักผ่อนอย่างเพียงพอล้วนเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยให้ผิวของเรากลับมาสวยงามและเรียบเนียนได้อีกครั้ง อย่าลืมว่าการดูแลผิวพรรณต้องใช้เวลาและความอดทน ผลลัพธ์อาจไม่เกิดขึ้นทันที แต่หากเรายังคงดูแลและปฏิบัติตามเทคนิคที่แนะนำอย่างสม่ำเสมอ เราจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นในไม่ช้า


คำถามที่พบบ่อย

1. รอยแตกลายสามารถหายขาดได้หรือไม่?

รอยแตกลายไม่สามารถหายขาดได้ทั้งหมด แต่สามารถลดเลือนลงได้อย่างมากด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มีส่วนผสมของวิตามิน A, E, และ C รวมถึงการทำทรีตเมนต์เลเซอร์และการนวดผิวอย่างสม่ำเสมอ

2. วิธีการออกกำลังกายแบบไหนที่ช่วยกระชับผิวได้ดีที่สุด?

การออกกำลังกายที่ช่วยกระชับผิวได้ดีที่สุดคือการยกน้ำหนักและการทำโยคะ เนื่องจากช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิว ทำให้ผิวดูเต่งตึงและกระชับมากขึ้น

3. การใช้น้ำมันธรรมชาติเพื่อลดรอยแตกลายมีประสิทธิภาพจริงหรือไม่?

น้ำมันธรรมชาติเช่น น้ำมันมะพร้าวและน้ำมันอัลมอนด์มีประสิทธิภาพในการให้ความชุ่มชื้นและช่วยลดเลือนรอยแตกลายได้ในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล และควรใช้ควบคู่กับการดูแลผิวอื่น ๆ

4. ผลิตภัณฑ์ประเภทไหนที่ควรหลีกเลี่ยงเมื่อมีรอยแตกลาย?

ควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารเคมีที่รุนแรง เช่น สารฟอกขาวและสารสเตียรอยด์ เนื่องจากอาจทำให้ผิวระคายเคืองและทำให้รอยแตกลายแย่ลง แนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติและวิตามินเพื่อการบำรุงผิวที่ปลอดภัย


อ้างอิง

ครีมสำหรับคนอ้วน เคล็ดลับการเลือกครีมบำรุงอย่างไรให้ตอบโจทย์

สำหรับคนอ้วนมักประสบปัญหาผิวที่แตกต่างจากคนทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นผิวแห้งแตกง่าย รอยดำจากการเสียดสี สิวอุดตัน หรือผิวมันและรูขุมขนกว้าง การเลือกครีมบำรุงผิวที่เหมาะสมจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้ผิวมีสุขภาพดีและตอบโจทย์ปัญหาผิวที่เกิดขึ้น บทความนี้จะนำเสนอเคล็ดลับการเลือก ครีมสำหรับคนอ้วน พร้อมทั้งแนะนำสารสำคัญที่ควรมีในครีม และวิธีการใช้ครีมบำรุงผิวให้ได้ผล เพื่อให้ผู้อ่านสามารถเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพในการดูแลผิวของตนเองได้อย่างเต็มที่


การดูแลผิวในคนอ้วนถึงต้องใส่ใจเป็นพิเศษ

การดูแลผิวในคนอ้วนถึงต้องใส่ใจเป็นพิเศษ

การดูแลผิวในคนอ้วนเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เนื่องจากคนอ้วนมักประสบกับปัญหาผิวที่แตกต่างจากคนทั่วไป หากไม่ใส่ใจในการดูแลผิวอาจทำให้ปัญหาผิวลุกลามและเกิดผลกระทบต่อสุขภาพและความมั่นใจในตนเอง การเลือกครีมบำรุงผิวที่เหมาะสมและการดูแลผิวอย่างถูกวิธีจึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม

ปัญหาผิวที่พบบ่อยในคนอ้วน

ปัญหาผิวที่พบบ่อยในคนอ้วนมีหลายประเภท ซึ่งบางครั้งอาจเกิดจากการที่ผิวหนังต้องรับน้ำหนักมากขึ้นหรือการที่ร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น อาหาร การดูแลสุขภาพ และลักษณะการใช้ชีวิตทั่วไป มาดูกันว่ามีปัญหาผิวคนอ้วนประเภทใดบ้างที่พบบ่อย

  1. ผื่นผิวหนัง (Intertrigo) ผื่นผิวหนังเป็นอาการที่เกิดขึ้นในบริเวณที่ผิวหนังสัมผัสและเสียดสีกัน เช่น ใต้ราวนม รักแร้ ขาหนีบ หรือบริเวณข้อพับต่างๆ อาการนี้มักเกิดจากความชื้นและเหงื่อที่สะสม ทำให้เกิดการอักเสบ ติดเชื้อราหรือเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งอาจทำให้รู้สึกเจ็บ แสบ หรือคัน
  2. เซลลูไลท์ (Cellulite) เซลลูไลท์คือการสะสมของไขมันใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวหนังมีลักษณะขรุขระเหมือนผิวส้ม พบได้บ่อยในบริเวณต้นขา สะโพก และก้น ซึ่งเกิดจากการที่ร่างกายสะสมไขมันส่วนเกิน
  3. รอยแตกลาย (Striae) รอยแตกลายเป็นรอยย่นหรือรอยแยกที่เกิดขึ้นเมื่อผิวหนังขยายตัวอย่างรวดเร็ว เช่น ในกรณีที่น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว รอยแตกลายอาจมีสีแดงหรือม่วงในช่วงแรก และเปลี่ยนเป็นสีขาวเมื่อเวลาผ่านไป ประมาณ 50-90% ของคนอ้วนจะพบรอยแตกลายในบางบริเวณของร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณท้อง แขน และต้นขา
  4. การติดเชื้อราที่ผิวหนัง (Fungal Infections) คนอ้วนมีโอกาสที่จะติดเชื้อราที่ผิวหนังได้มากกว่าคนทั่วไป เนื่องจากความชื้นและเหงื่อที่สะสมในบริเวณที่มีการเสียดสีของผิวหนัง เช่น ที่รักแร้ ขาหนีบ หรือใต้ราวนม ทำให้เชื้อราเติบโตได้ง่ายส่งผลให้ผิวอักเสบ
  5. ความผิดปกติของฮอร์โมน (Hormonal Imbalances) ความอ้วนสามารถส่งผลให้เกิดความผิดปกติของฮอร์โมน เช่น ฮอร์โมนอินซูลินหรือฮอร์โมนแอนโดรเจน ซึ่งอาจทำให้เกิดสิวหรือผิวมันได้

การดูแลผิวสำหรับคนอ้วนนั้น ควรให้ความสำคัญกับการรักษาความสะอาด ลดความชื้นในบริเวณที่มีการเสียดสี ใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับสภาพผิว และหมั่นตรวจสอบสภาพผิวอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาผิวที่อาจทำให้เกิดความไม่สบายใจและส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว


การเลือก ครีมสำหรับคนอ้วน

การเลือก ครีมสำหรับคนอ้วน

เลือกครีมที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติ

การเลือกครีมบำรุงที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติเป็นสิ่งสำคัญสำหรับคนอ้วน เนื่องจากผิวของคนอ้วนมักมีความไวต่อสารเคมีต่าง ๆ ส่วนผสมจากธรรมชาติ เช่น สารสกัดจากว่านหางจระเข้ (Aloe Vera), สารสกัดจากชาเขียว (Green Tea Extract) หรือสารสกัดจากพืชต่าง ๆ มีคุณสมบัติช่วยลดการอักเสบ ช่วยปรับสภาพผิวให้สม่ำเสมอและไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง นอกจากนี้ สารสกัดจากธรรมชาติมักมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องผิวจากการทำลายของแสงแดดและมลภาวะ

เลือกครีมที่มีสารให้ความชุ่มชื้นสูง

ผิวแห้งและแตกง่ายเป็นปัญหาที่พบบ่อยในคนอ้วน วิธีลดรอยแตกลายและแห้งคือการเลือกครีมที่มีสารให้ความชุ่มชื้นสูงจึงเป็นสิ่งจำเป็น สารให้ความชุ่มชื้นที่ควรมองหาในครีมบำรุงผิว ได้แก่ ไฮยาลูรอนิคแอซิด (Hyaluronic Acid) ซึ่งมีคุณสมบัติในการดึงน้ำเข้าผิวและช่วยให้ผิวคงความชุ่มชื้นยาวนาน นอกจากนี้ กลีเซอรีน (Glycerin) และเชียบัตเตอร์ (Shea Butter) ก็เป็นสารให้ความชุ่มชื้นที่ดีเช่นกัน ช่วยให้ผิวเนียนนุ่มและลดปัญหาผิวแห้งแตก

เลือกครีมที่มีส่วนผสมลดการอักเสบ

การอักเสบและรอยดำเป็นปัญหาที่คนอ้วนมักเผชิญ การเลือกครีมที่มีส่วนผสมลดการอักเสบ เช่น ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) ที่ช่วยลดการอักเสบและปรับสภาพสีผิวให้สม่ำเสมอ นอกจากนี้ สารสกัดจากชะเอม (Licorice Extract) ก็เป็นส่วนผสมที่ดีในการลดรอยดำและช่วยให้ผิวดูสดใสยิ่งขึ้น

เลือกครีมที่เหมาะกับสภาพผิวเฉพาะ

นอกจากการเลือกครีมที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติและให้ความชุ่มชื้นสูงแล้ว ควรเลือกครีมที่เหมาะสมกับสภาพผิวของแต่ละบุคคล เช่น ผิวมัน ผิวแห้ง หรือผิวผสม ครีมที่เหมาะสมจะช่วยให้การดูแลผิวมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และลดปัญหาผิวที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ตรงกับสภาพผิว


สารสำคัญที่ควรมองหาในครีมบำรุงผิว

สารสำคัญที่ควรมองหาในครีมบำรุงผิว

ไฮยาลูรอนิคแอซิด (Hyaluronic Acid)

ไฮยาลูรอนิคแอซิดเป็นสารที่มีคุณสมบัติในการดึงน้ำเข้าผิว ทำให้ผิวชุ่มชื้นและเนียนนุ่ม มีความสามารถในการกักเก็บน้ำถึง 1,000 เท่าของน้ำหนักตัวเอง ซึ่งช่วยให้ผิวคงความชุ่มชื้นยาวนาน ลดการเกิดริ้วรอยและรอยแตกที่มักพบในคนอ้วน การเลือกครีมที่มีไฮยาลูรอนิคแอซิดจึงเป็นสิ่งสำคัญในการดูแลผิวแห้งและผิวที่ต้องการความชุ่มชื้นสูง

ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide)

ไนอะซินาไมด์เป็นวิตามินบี3 ที่มีประโยชน์หลากหลายสำหรับผิว โดยเฉพาะการลดการอักเสบและปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ นอกจากนี้ ไนอะซินาไมด์ยังช่วยลดการผลิตน้ำมันผิว ทำให้ผิวมันน้อยลงและลดปัญหาการเกิดสิว การเลือกครีมที่มีไนอะซินาไมด์เป็นส่วนผสมจึงช่วยให้ผิวมีสุขภาพดี ลดการระคายเคือง และกระชับรูขุมขน

สารสกัดจากว่านหางจระเข้ (Aloe Vera Extract)

สารสกัดจากว่านหางจระเข้มีคุณสมบัติในการลดการอักเสบและช่วยให้ผิวชุ่มชื้น นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ในการสมานแผลและลดการระคายเคือง ทำให้ผิวรู้สึกสดชื่นและผ่อนคลาย การเลือกครีมที่มีสารสกัดจากว่านหางจระเข้จะช่วยบำรุงผิวให้เนียนนุ่ม ลดการอักเสบและรอยแดงที่เกิดจากการเสียดสีของผิวหนัง

สารสกัดจากชาเขียว (Green Tea Extract)

สารสกัดจากชาเขียวเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยปกป้องผิวจากการทำลายของแสงแดดและมลภาวะ นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติในการลดการอักเสบและการระคายเคืองของผิว การเลือกครีมที่มีสารสกัดจากชาเขียวจะช่วยให้ผิวดูอ่อนเยาว์ ลดรอยแดงและรอยดำจากสิว และทำให้ผิวมีสุขภาพดีขึ้น


เคล็ดลับการใช้ครีมบำรุงผิวให้ได้ผล

เคล็ดลับการใช้ครีมบำรุงผิวให้ได้ผล

การทำความสะอาดผิวอย่างถูกวิธี

การทำความสะอาดผิวเป็นขั้นตอนแรกและสำคัญที่สุดในการดูแลผิว การใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่เหมาะสมกับสภาพผิวจะช่วยขจัดสิ่งสกปรก น้ำมันส่วนเกิน และเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกจากผิวหน้า ทำให้ครีมบำรุงสามารถซึมเข้าสู่ผิวได้ดียิ่งขึ้น ควรล้างหน้าเบา ๆ ด้วยน้ำอุ่น และใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ทำให้ผิวแห้งหรือระคายเคือง หลังจากนั้นให้ซับหน้าเบา ๆ ด้วยผ้าขนหนูนุ่ม ๆ เพื่อไม่ให้ผิวระคายเคือง

การทาครีมในเวลาที่เหมาะสม

การทาครีมบำรุงผิวในเวลาที่เหมาะสมจะช่วยให้ครีมทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เวลาที่เหมาะสมที่สุดในการทาครีมคือหลังอาบน้ำหรือหลังล้างหน้า เพราะเป็นช่วงเวลาที่ผิวสะอาดและรูขุมขนเปิด ทำให้ครีมซึมเข้าสู่ผิวได้ดี ควรทาครีมในปริมาณที่เหมาะสม ไม่มากหรือน้อยเกินไป และทาในลักษณะการนวดเบา ๆ เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและช่วยให้ครีมซึมลึกลงไปในชั้นผิว

การใช้ครีมร่วมกับการดูแลสุขภาพอื่น ๆ

การใช้ครีมบำรุงผิวควรทำควบคู่กับการดูแลสุขภาพทั่วไป เช่น การดื่มน้ำเพียงพอในแต่ละวัน เพื่อให้ผิวชุ่มชื้นจากภายใน การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เน้นผักและผลไม้ที่มีวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระ และการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและส่งเสริมสุขภาพผิว นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากสามารถทำลายสุขภาพผิวและทำให้ผิวดูแก่เร็วขึ้น


การเลือก ครีมสำหรับคนอ้วน อาจดูเหมือนเป็นเรื่องที่ซับซ้อน แต่หากเราเข้าใจปัญหาผิวที่เผชิญและรู้จักวิธีการเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม การดูแลผิวก็จะกลายเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเลือกครีมที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติ หรือการมองหาสารสำคัญที่ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและลดการอักเสบ การดูแลผิวด้วยความใส่ใจและการใช้ครีมที่ถูกต้องจะช่วยให้ผิวของเรามีสุขภาพดีขึ้น ทั้งนี้ การทาครีมควรทำร่วมกับการดูแลสุขภาพทั่วไป เช่น การดื่มน้ำเพียงพอและการออกกำลังกาย เพื่อให้ผิวของเรามีสุขภาพดีจากภายในสู่ภายนอก การมีผิวที่ดีไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินไป หากเราใส่ใจและดูแลอย่างเหมาะสม


คำถามที่พบบ่อย

1. คนอ้วนควรเลือกครีมบำรุงผิวประเภทใด?

คนอ้วนควรเลือกครีมบำรุงผิวที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติ มีสารให้ความชุ่มชื้นสูง และมีส่วนผสมลดการอักเสบ เช่น ไฮยาลูรอนิคแอซิด ไนอะซินาไมด์ และสารสกัดจากว่านหางจระเข้ ซึ่งจะช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ลดการระคายเคือง และลดปัญหาผิวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากน้ำหนักตัวที่มากขึ้น

2. มีเคล็ดลับการใช้ครีมบำรุงผิวอย่างไรให้ได้ผลดีที่สุด?

ควรทำความสะอาดผิวอย่างถูกวิธีก่อนทาครีม และทาครีมในเวลาที่เหมาะสม เช่น หลังอาบน้ำหรือก่อนนอน เพื่อให้ครีมซึมเข้าสู่ผิวได้ดีที่สุด การใช้ครีมร่วมกับการดูแลสุขภาพอื่น ๆ เช่น ดื่มน้ำเพียงพอ และการออกกำลังกาย จะช่วยให้ผิวมีสุขภาพดีขึ้นอีกด้วย

3. คนอ้วนสามารถใช้ครีมบำรุงผิวที่ใช้กันทั่วไปได้หรือไม่?

คนอ้วนสามารถใช้ครีมบำรุงผิวที่ใช้กันทั่วไปได้ แต่ควรเลือกครีมที่มีคุณสมบัติที่เหมาะสมกับปัญหาผิวที่พบ เช่น ครีมที่มีสารให้ความชุ่มชื้นสูง และมีส่วนผสมลดการอักเสบ เพื่อช่วยลดปัญหาผิวแห้ง แตกง่าย และการอักเสบที่เกิดจากการเสียดสี

4. สารสำคัญในครีมบำรุงผิวที่ควรมองหาคืออะไร?

สารสำคัญที่ควรมองหาในครีมบำรุงผิวสำหรับคนอ้วน ได้แก่ ไฮยาลูรอนิคแอซิด ที่ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ไนอะซินาไมด์ ที่ช่วยลดการอักเสบ และสารสกัดจากว่านหางจระเข้และชาเขียว ที่ช่วยลดการระคายเคืองและเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับผิว


อ้างอิง

ปัญหาผิวคนอ้วน แนะนำวิธีป้องกันและแก้ไข

การดูแลผิวพรรณเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะสำหรับคนที่มีน้ำหนักเกินหรือคนอ้วนที่มักประสบปัญหาผิวหนังต่าง ๆ มากกว่าคนที่มีน้ำหนักปกติ ปัญหาผิวเหล่านี้ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อความมั่นใจในตัวเอง แต่ยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตอีกด้วย โดยหลาย ๆ คนพยายามหาวิธอิธีที่ได้ผลไม่ว่าจะเป็นการควบคุมการกินอาหาร การเลือกทานอาหารเสริมลดหนักจากแบรนด์ดังเช่นในบทความ https://yamyam.in.th/ยาลดน้ำหนักตัวไหนดี/ หรือการออกกำลังกาย แต่นอกจากการดูแลสุขภาพกายแล้ว สุขภาพผิวก็มีความสำคัญไปแพ้กัน บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับปัญหาผิวที่พบบ่อยในคนอ้วน สาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหา และวิธีป้องกันและแก้ไขปัญหาเหล่านั้น เพื่อให้คุณสามารถดูแลสุขภาพผิวของตนเองได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ


ทำไมคนอ้วนมักมีโอกาสเกิดปัญหาผิวได้มากกว่า

ทำไมคนอ้วนมักมีโอกาสเกิดปัญหาผิวได้มากกว่า

1. การเสียดสีของผิวหนัง

การเสียดสีระหว่างผิวหนังในบริเวณที่มีไขมันสะสม เช่น ใต้ราวนม รักแร้ ระหว่างขา หรือบริเวณท้อง สามารถทำให้ผิวหนังเกิดอาการระคายเคืองและผื่นผิวหนัง (Intertrigo) ได้ง่าย ซึ่งส่งผลให้เกิดการติดเชื้อราและแบคทีเรียได้ง่ายขึ้น

2. การสะสมของความชื้น

คนอ้วนมักมีเหงื่อออกมากกว่าเนื่องจากมีพื้นที่ผิวหนังที่ใหญ่ขึ้น การสะสมของเหงื่อและความชื้นในบริเวณที่มีผิวหนังพับหรือเสียดสีกัน ทำให้เกิดการเติบโตของเชื้อราและแบคทีเรีย ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดผื่นผิวหนังและการติดเชื้อ มีการรายงานว่ากว่า 60% ของผู้ที่มีน้ำหนักเกินประสบปัญหานี้

3. การเกิดผิวแตกลาย

การขยายตัวของผิวหนังเนื่องจากน้ำหนักเกินทำให้ผิวหนังต้องยืดออกอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดรอยแตกลาย (Stretch Marks) โดยเฉพาะในบริเวณที่มีการสะสมของไขมันมาก เช่น หน้าท้อง สะโพก และต้นขา

4. ปัญหาผิวแห้งและคัน

การขยายตัวของผิวหนังทำให้โครงสร้างของผิวหนังถูกยืดและบางลง ซึ่งอาจทำให้ผิวหนังสูญเสียความชุ่มชื้นและกลายเป็นผิวแห้งและคันได้ นอกจากนี้ การดูแลผิวไม่ถูกวิธีก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผิวแห้งและคันในคนอ้วน

5. ปัญหาผิวหนังจากการสะสมของสารเคมี

การใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดหรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีสารเคมีที่ไม่เหมาะสมสามารถทำให้ผิวหนังเกิดอาการระคายเคืองและปัญหาผิวอื่น ๆ ได้ โดยเฉพาะในคนอ้วนที่มีผิวหนังบอบบางและเสี่ยงต่อการเกิดอาการแพ้


ปัญหาผิวที่พบบ่อยในคนอ้วน

ปัญหาผิวที่พบบ่อยในคนอ้วน

2.1 ผื่นผิวหนัง (Intertrigo)

ผื่นผิวหนัง (Intertrigo) เป็นปัญหาผิวที่พบบ่อยในคนอ้วน โดยเกิดจากการเสียดสีระหว่างผิวหนังในบริเวณที่มีไขมันสะสม เช่น ใต้ราวนม รักแร้ ระหว่างขา และบริเวณท้อง การเสียดสีนี้ทำให้เกิดความร้อนและความชื้น ซึ่งเป็นสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโตของเชื้อราและแบคทีเรีย ส่งผลให้เกิดผิวอักเสบและผื่นคันบนผิวหนัง นอกจากนี้ คนอ้วนที่มีผิวหนังพับกันมาก ๆ ยังเสี่ยงต่อการเกิดผื่นผิวหนังมากขึ้น

2.2 ผิวแห้งและคัน (Dry and Itchy Skin)

ผิวแห้งและคันเกิดการขยายตัวของผิวหนังทำให้โครงสร้างของผิวถูกยืดและบางลง ส่งผลให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้นและกลายเป็นผิวแห้ง นอกจากนี้ การดูแลผิวไม่ถูกวิธีก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ผิวแห้งและคันได้ ปัญหาผิวแห้งและคันนี้ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ทำให้รู้สึกไม่สบายและไม่มั่นใจในตัวเอง

2.3 ปัญหาผิวแตกลาย (Stretch Marks)

ผิวแตกลาย (Stretch Marks) เกิดจากการขยายตัวของผิวหนังอย่างรวดเร็ว เช่น ในกรณีของการเพิ่มน้ำหนักหรือตั้งครรภ์ เมื่อผิวหนังยืดออกอย่างรวดเร็ว โครงสร้างของผิวหนังจะถูกทำลาย ทำให้เกิดรอยแตกลายที่มีสีแดงหรือม่วงในช่วงแรก ๆ และจะค่อย ๆ จางลงเป็นสีขาวหรือเงินเมื่อเวลาผ่านไป วิธีลดรอยแตกลายคือการรักษาความชุ่มชื้นของผิวหนัง และการใช้ครีมหรือออยล์ที่มีส่วนผสมของวิตามินอีหรือเรตินอยด์ เพื่อช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่และปรับสีผิวให้เรียบเนียนขึ้น

2.4 การเกิดเชื้อราและแบคทีเรียบนผิว (Fungal and Bacterial Infections)

การติดเชื้อราและแบคทีเรียบนผิวหนังเป็นปัญหาที่พบบ่อยในคนอ้วน เนื่องจากการสะสมของความชื้นและเหงื่อในบริเวณที่มีผิวหนังพับกัน เช่น ใต้ราวนม รักแร้ และระหว่างขา ทำให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโตของเชื้อราและแบคทีเรีย สาเหตุของการติดเชื้อเหล่านี้มักเกิดจากการดูแลผิวไม่ถูกวิธี การรักษาความสะอาดและการใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม เช่น แป้งฝุ่นหรือครีมที่มีส่วนผสมของสารต้านเชื้อรา สามารถช่วยป้องกันและรักษาการติดเชื้อได้


วิธีป้องกันปัญหาผิวในคนอ้วน

วิธีป้องกันปัญหาผิวในคนอ้วน

3.1 การรักษาความสะอาดของผิวหนัง

ขั้นตอนการดูแลผิวให้สะอาด

  1. อาบน้ำอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เพื่อขจัดเหงื่อและสิ่งสกปรกที่สะสมบนผิวหนัง
  2. ใช้สบู่หรือเจลอาบน้ำที่มีสารทำความสะอาดอ่อนโยนและปราศจากสารเคมีที่ทำให้ผิวระคายเคือง
  3. หลังอาบน้ำควรเช็ดตัวให้แห้ง โดยเฉพาะบริเวณที่มีผิวหนังพับหรือเสียดสีกัน เพื่อป้องกันการเกิดเชื้อราและแบคทีเรีย

ผลิตภัณฑ์ที่ควรใช้

  1. สบู่หรือเจลอาบน้ำที่มีสารทำความสะอาดอ่อนโยน
  2. แป้งฝุ่นหรือผงซับเหงื่อที่ช่วยรักษาความแห้งและลดความชื้นในบริเวณที่มีการเสียดสี
  3. ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารต้านเชื้อรา เช่น ครีมหรือแป้งที่มีส่วนผสมของ Clotrimazole หรือ Miconazole

3.2 การดูแลผิวให้ชุ่มชื้น

แนะนำผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะสม

  1. โลชั่นหรือครีมบำรุงผิวที่มีส่วนผสมของมอยส์เจอไรเซอร์เข้มข้นหรือครีมสำหรับคนอ้วน เช่น เชียบัตเตอร์ หรืออโลเวร่า
  2. ออยล์บำรุงผิวที่มีวิตามินอีหรืออาร์แกนออยล์

วิธีการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวอย่างถูกต้อง

  1. ทาครีมหรือโลชั่นบำรุงผิวทันทีหลังอาบน้ำ ขณะที่ผิวยังชื้นอยู่ เพื่อช่วยล็อคความชุ่มชื้นในผิว
  2. ทาครีมหรือออยล์ในปริมาณที่พอเหมาะ และนวดเบา ๆ จนผลิตภัณฑ์ซึมซาบเข้าสู่ผิว
  3. ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเป็นประจำทุกวัน โดยเฉพาะบริเวณที่มีปัญหาผิวแห้ง

3.3 การควบคุมอาหารและการออกกำลังกาย

อาหารที่มีประโยชน์ต่อผิว

  1. รับประทานอาหารที่มีวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อผิว เช่น วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินอี และสังกะสี
  2. เพิ่มปริมาณการบริโภคผักและผลไม้สด เพื่อให้ได้สารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องผิว
  3. ดื่มน้ำให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพื่อรักษาความชุ่มชื้นของผิว

การออกกำลังกายเพื่อสุขภาพผิวที่ดี

  1. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยวันละ 30 นาที เช่น การเดิน วิ่ง ว่ายน้ำ หรือโยคะ
  2. การออกกำลังกายช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และขับเหงื่อ ซึ่งช่วยให้ผิวดูสดใสและสุขภาพดี
  3. หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายในสภาพอากาศร้อนจัด เพื่อป้องกันการสูญเสียน้ำและความชุ่มชื้นจากผิว

3.4 การใช้ผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดด

ความสำคัญของการป้องกันแสงแดด

  1. แสงแดดมีรังสี UV ที่สามารถทำลายเซลล์ผิว ทำให้เกิดจุดด่างดำ ฝ้า กระ และริ้วรอยก่อนวัย
  2. การป้องกันแสงแดดช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งผิวหนัง

ผลิตภัณฑ์กันแดดที่เหมาะสมกับคนอ้วน

  1. ใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไป และปกป้องทั้งรังสี UVA และ UVB
  2. เลือกครีมกันแดดที่มีเนื้อบางเบา ซึมซาบเร็ว ไม่อุดตันรูขุมขน
  3. ทาครีมกันแดดทุกวัน แม้ในวันที่ไม่มีแดด และทาซ้ำทุก 2 ชั่วโมงหากอยู่กลางแจ้ง

วิธีการแก้ไขปัญหาผิวในคนอ้วน

วิธีการแก้ไขปัญหาผิวในคนอ้วน

4.1 การรักษาผื่นผิวหนัง

วิธีการรักษาผื่นผิวหนังที่ได้ผล

  1. รักษาความสะอาดและความแห้งของบริเวณที่เกิดผื่น
  2. หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำให้ผิวระคายเคือง เช่น สบู่ที่มีสารเคมีรุนแรง
  3. ใช้ผ้าซับเหงื่อหรือแป้งฝุ่นเพื่อช่วยลดความชื้นและการเสียดสีในบริเวณที่เกิดผื่น

ผลิตภัณฑ์และยาที่ควรใช้

  1. ครีมที่มีส่วนผสมของสารต้านเชื้อราและแบคทีเรีย เช่น Clotrimazole หรือ Miconazole
  2. ครีมหรือโลชั่นที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ในกรณีที่ผื่นมีการอักเสบและคันมาก
  3. ยาปฏิชีวนะในกรณีที่มีการติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย (ต้องได้รับคำแนะนำจากแพทย์)

4.2 การบำรุงผิวแห้งและคัน

การใช้ครีมบำรุงผิวที่เหมาะสม

  1. ใช้ครีมหรือโลชั่นที่มีส่วนผสมของมอยส์เจอไรเซอร์เข้มข้น เช่น เชียบัตเตอร์ หรืออโลเวร่า
  2. ทาครีมหรือโลชั่นหลังอาบน้ำทันทีขณะที่ผิวยังชื้น เพื่อช่วยล็อคความชุ่มชื้นในผิว

วิธีการใช้สมุนไพรและวิธีธรรมชาติในการบำรุงผิว

  1. ใช้น้ำมันมะพร้าวหรือน้ำมันอาร์แกนในการนวดผิวเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น
  2. ใช้เจลอโลเวร่าที่มีสรรพคุณช่วยบำรุงผิวและลดการระคายเคือง
  3. อาบน้ำด้วยน้ำอุ่นที่ผสมด้วยข้าวโอ๊ตเพื่อช่วยลดอาการคันและบำรุงผิว

4.3 การรักษาผิวแตกลาย

วิธีการรักษาผิวแตกลายที่มีประสิทธิภาพ

  1. นวดผิวด้วยออยล์ที่มีวิตามินอี หรือครีมที่มีส่วนผสมของเรตินอยด์ เพื่อกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่
  2. ใช้เลเซอร์หรือการทำทรีทเมนต์ในคลินิกความงามเพื่อช่วยลดรอยแตกลาย

การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดรอยแตกลาย

  1. ครีมที่มีส่วนผสมของวิตามินอีหรือคอลลาเจน
  2. ออยล์บำรุงผิวที่ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและความชุ่มชื้นให้กับผิว

4.4 การรักษาการติดเชื้อบนผิวหนัง

ยาและผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในการรักษาการติดเชื้อ

  1. ยาปฏิชีวนะสำหรับการติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น Amoxicillin หรือ Clindamycin (ต้องได้รับคำแนะนำจากแพทย์)
  2. ยาต้านเชื้อราสำหรับการติดเชื้อรา เช่น Fluconazole หรือ Terbinafine
  3. ครีมหรือยาทาที่มีส่วนผสมของสารต้านเชื้อราและแบคทีเรีย

การดูแลตัวเองเพื่อป้องกันการติดเชื้อ

  1. รักษาความสะอาดของผิวหนังอย่างสม่ำเสมอ
  2. หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำให้ผิวระคายเคือง
  3. ใช้ผ้าซับเหงื่อหรือแป้งฝุ่นเพื่อรักษาความแห้งของบริเวณที่มีการเสียดสีและพับกัน
  4. สวมใส่เสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดีและไม่คับเกินไป

การดูแลสุขภาพผิวเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะสำหรับคนที่มีน้ำหนักเกินหรือคนอ้วนที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาผิวหนังต่าง ๆ มากกว่าคนทั่วไป การรู้จักและเข้าใจปัญหาผิวที่พบบ่อยในคนอ้วนจะช่วยให้เราสามารถป้องกันและแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การรักษาความสะอาดของผิวหนัง การบำรุงผิวให้ชุ่มชื้น การควบคุมอาหารและการออกกำลังกาย รวมถึงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม จะช่วยให้ผิวของเรามีสุขภาพดีและแข็งแรงขึ้น


คำถามที่พบบ่อย

1. ทำไมคนอ้วนถึงมีปัญหาผิวมากกว่าคนทั่วไป?

คนอ้วนมีแนวโน้มที่จะมีปัญหาผิวมากกว่าคนทั่วไป เนื่องจากการสะสมของไขมันส่วนเกินที่ทำให้ผิวหนังต้องรับน้ำหนักและการเสียดสีเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ การสะสมของความชื้นและเหงื่อในบริเวณที่มีผิวหนังพับหรือเสียดสีกัน เช่น ใต้ราวนม รักแร้ และระหว่างขา ยังเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดผื่นผิวหนังและการติดเชื้อได้ง่ายขึ้น

2. มีวิธีป้องกันผื่นผิวหนังในคนอ้วนได้อย่างไรบ้าง?

การป้องกันผื่นผิวหนังในคนอ้วนสามารถทำได้โดยการรักษาความสะอาดของผิวหนังในบริเวณที่มีการเสียดสีหรือพับกันให้แห้งและสะอาดอยู่เสมอ ใช้แป้งฝุ่นหรือผ้าซับเหงื่อในบริเวณดังกล่าว และสวมใส่เสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำให้ผิวระคายเคือง และหากมีอาการผื่นควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำและการรักษาที่เหมาะสม

3. วิธีการบำรุงผิวแห้งและคันในคนอ้วนมีอะไรบ้าง?

การบำรุงผิวแห้งและคันในคนอ้วนสามารถทำได้โดยการใช้ครีมหรือโลชั่นที่มีส่วนผสมของมอยส์เจอไรเซอร์เข้มข้น เช่น เชียบัตเตอร์ หรืออโลเวร่า หลังอาบน้ำควรทาครีมบำรุงผิวทันทีขณะที่ผิวยังชื้นอยู่ เพื่อรักษาความชุ่มชื้น นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงการอาบน้ำร้อนเกินไปและใช้สบู่ที่มีสารทำความสะอาดที่ไม่รุนแรงต่อผิว

4. สามารถลดรอยแตกลายที่เกิดจากน้ำหนักเกินได้อย่างไร?

การลดรอยแตกลายสามารถทำได้โดยการใช้ครีมหรือออยล์ที่มีส่วนผสมของวิตามินอีหรือเรตินอยด์ ซึ่งช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่และปรับสีผิวให้เรียบเนียนขึ้น นอกจากนี้ การรักษาความชุ่มชื้นของผิวด้วยการทาครีมหรือโลชั่นบำรุงผิวเป็นประจำ และการดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวันก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยลดรอยแตกลายได้


อ้างอิง

การล้างหน้าที่ถูกต้อง เทคนิคผิวหน้าสวยและสุขภาพดี

หนึ่งในปัญหาผิวที่กวนใจคนจำนวนมากนั้นก็คือปัญหาสิว ไม่สำคัญว่าคุณจะมีสีผิวอะไรเพราะทุกคนสามารถหล่อเท่ และดูดีในทุกสีผิวที่คุณชอบหรือมี แต่สำหรับปัญหาสิวเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่ทำให้หลาย ๆ คนรู้สึกหมดความมั่นใจ เพราะนอกจากจะเจ็บปวดทุกครั้งที่สิวขึ้นแล้วก็ยังทำให้เป็นจุดดึงดูดสายตาบนใบหน้าที่ไม่น่ามอง ช่วยลดทอนบุคลิกภาพ และที่สำคัญคือบางครั้งเมื่อเจ้าสิวเหล่านี้จากไป ก็ได้ทิ้งรอยดำรอยแดงอันแสนน่าเกลียดเอาไว้ด้วย ดังนั้น การล้างหน้าที่ถูกต้อง ควรมองหาผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาเพื่อผิวคุณโดยเฉพาะ เพราะผิวของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ดังนั้นการใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่เป็นสูตรสำหรับผิวของคุณจะมีประสิทธิภาพมากกว่า และในเนื้อหาดี ๆ นี้เราก็ได้นำวิธีล้างหน้าที่ถูกต้องมาแนะนำกันด้วย


การล้างหน้าที่ถูกต้อง ทำให้สะอาดเกลี้ยง

การล้างหน้าที่ถูกต้อง

การล้างหน้าอย่างถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญในการขจัดสิ่งสกปรก น้ำมัน การฟื้นฟูใบหน้าแพ้สารเคมี และสิ่งที่ไม่พึงประสงค์อื่น ๆ ที่อาจก่อให้เกิดสิวและปัญหาผิวอื่น ๆ บนใบหน้า ซึ่งเราก็ได้นำวิธีล้างหน้าอย่างถูกต้อง ทำให้ใบหน้าขอคุณสะอาดสดใสมาฝากกัน

  • ถ้าเป็นไปได้ให้ใช้น้ำอุ่นเปิดรูขุมขนบนใบหน้า สามารถใช้มือกวักน้ำชโลมใบหน้าให้เปียกชุ่มได้เลย
  • ใช้โฟมล้างหน้าปริมาณเล็กน้อย (ปริมาณปลายนิ้ว) นำโฟมล้างหน้าหรือผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่คุณใช้อ ยู่ ชโลมให้ทั่วใบหน้า หลังจากนั้นค่อย ๆ นวดผลิตภัณฑ์ซึมเข้าสู่ผิวของคุณ ด้วยการนวดเป็นวงกลมในพื้นที่ต่าง ๆ ของใบหน้า ระวังอย่าถูแรงเกินไป เพราะอาจทำให้ผิวระคายเคืองได้และสิวจะอักเสบมากกว่าเดิม
  • การล้างหน้าที่ถูกต้องให้เน้นถูบริเวณใบหน้าที่มีแนวโน้มมักจะเกิดสิว เช่น หน้าผาก, จมูก และคาง รวมทั้งคอและไรผมด้วย
  • ล้างหน้าให้สะอาดด้วยน้ำเปล่า ล้างซ้ำจนกว่าผลิตภัณฑ์หรือโฟมล้างหน้าจะออกจนหมดเกลี้ยง
  • ซับหน้าให้แห้งด้วยผ้าสะอาด หลีกเลี่ยงการถูผิวด้วยผ้า เพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคืองได้

การล้างหน้าที่ถูกต้อง  วิธีช่วยบรรเทาปัญหาหน้ามัน ควรล้างวันละ 2 ครั้งในตอนเช้าและตอนกลางคืนเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งจะทำให้ผิวของคุณสะอาดและมีสุขภาพดี หากคุณมีผิวที่เป็นสิวง่าย แนะนำว่าคุณควรพกโฟมล้างหน้าติดตัวและเพิ่มรอบในการล้างหน้าให้มากขึ้น โดยเฉพาะหลังออกกำลังกาย เพื่อขจัดความมันส่วนเกินและแบคทีเรียที่เกิดขึ้นนั่นเอง


การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดหน้าที่เหมาะสมกับสภาพผิว

การล้างหน้าที่ถูกต้อง

เพราะทุกคนล้วนมีประเภทผิว และมีปัญหาที่เกิดกับผิวหน้าที่แตกต่างกัน ดังนั้นก่อนที่คุณจะเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดใบหน้าใด ๆ คุณควรทำความรู้จักกับประเภทผิวหรือปัญหาที่คุณต้องการแก้ไขซะก่อน

  • รู้จักประเภทผิวของคุณ: ขั้นตอนแรกในการเลือกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าที่เหมาะสมคือ การทำความรู้จักกับประเภทผิวของคุณ ซึ่งประเภทของผิวได้แก่ ผิวมัน, ผิวแห้ง, ผิวผสม หรือแพ้ง่าย แต่ส่วนใหญ่แล้วผิวของคนไทยจะมีลักษณะเป็นผิวมัน ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเกิดสิวได้ง่าย แต่ในกรณีที่คุณมีผิวแห้งคุณจะพบว่าผิวตัวเองจะชอบเป็นขุยและคัน ส่วนผิวผสมบางครั้งก็มันบางครั้งก็แห้งสลับกันไป และผิวบอบบางจะระคายเคืองได้ง่าย ซึ่งก่อนที่จะเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ใด ๆ ต้องระวังให้ดี เพราะมิฉะนั้นผิวของคุณจะเกิดผดผื่น เกิดสิว มีรอยแดงขึ้นได้ง่ายมาก ๆ
  • เลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับสภาพผิวของคุณ: เมื่อคุณรู้จักประเภทผิวของตัวเองแล้ว ให้มองหาผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าที่มีสูตรเฉพาะสำหรับผิวประเภทนั้น ๆ ยกตัวอย่างเช่น หากคุณมีผิวมัน ให้เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีกรดซาลิไซลิกหรือเบนโซอิลเปอร์ออกไซด์ เพื่อช่วยควบคุมการผลิตน้ำมันและป้องกันการเกิดสิว หากคุณมีผิวแห้ง ให้เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมที่ให้ความชุ่มชื้น เช่น กรดไฮยาลูโรนิกหรือกลีเซอรีน
  • พิจารณาส่วนผสมก่อนเลือกซื้อทุกครั้ง: การเลือกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้า หรือผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้า การพิจารณาส่วนผสมเป็นสิ่งสำคัญ คุณควรมองหาผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากสารเคมีรุนแรง น้ำหอม และสีเทียม เพราะสิ่งเหล่านี้อาจทำให้ผิวของคุณระคายเคืองได้มากขึ้น แนะนำให้เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติ เช่น ว่านหางจระเข้, ดอกคาโมมายล์ หรือทีทรีออยล์ ซึ่งจะดีต่อผิวของคนเป็นสิวมากกว่า
  • ทดสอบผลิตภัณฑ์ก่อนใช้ทุกครั้ง: ก่อนใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าใหม่ ๆ คุณควรทดสอบกับผิวพื้นที่เล็ก ๆ ก่อน เช่นนำมาแต้มบริเวณข้าง ๆ กรามเล็กน้อย เพื่อเป็นการทดสอบการระคายเคืองหรืออาการแพ้

 เทคนิคการดูแลผิวหน้าให้มีสุขภาพดี

การล้างหน้าที่ถูกต้อง

นอกเหนือไปจากการทำความสะอาดผิวหน้าอย่างถูกต้องแล้ว ในหัวข้อนี้เราก็จะมาแนะนำเทคนิคเสริมเพิ่มเติม ซึ่งจะทำให้การดูแลผิวหน้าของคุณมีสุขภาพที่ดีขึ้น และดูดีมากขึ้นกัน

  • ขัดผิวหน้า: การขัดผิวหน้าจะช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว และช่วยเปิดรูขุมขนทำให้สิ่งสกปรกออกมา ซึ่งจะช่วยป้องกันการเกิดสิว แนะนำให้คุณเลือกใช้สครับขัดผิวที่มีความอ่อนโยน สัปดาห์ละ 1 – 2 ครั้ง และสครับในลักษณะวนเป็นวงกลมเหมือนกับตอนล้างหน้า
  • มอบความชุ่มชื้นแก่ผิวทุกวัน: สำหรับผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้าที่อยากจะแนะนำให้คุณใช้หลังจากที่ทำความสะอาดผิวหน้าเสร็จ ก็คือผลิตภัณฑ์ประเภทมอยส์เจอร์ไรซ์เซอร์ที่ปราศจากน้ำมัน และไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน เพื่อทำให้ผิวของคุณมีความชุ่มชื้นและไม่ทำให้เกิดการอุดตันรูขุมขน
  • ปกป้องผิวของคุณจากแสงแดด: และอีกหนึ่งเคล็ดลับสำคัญเลยก็คือการเลือกใช้ครีมกันแดด เพราะต่อให้คุณดูแลผิวหน้าดีแค่ไหน ใช้สกินแคร์ราคาสูงแค่ไหน มีการล้างหน้าที่ถูกต้องบ่อยแค่ไหน แต่ถ้าคุณไม่ปกป้องใบหน้าของคุณจากความร้อนแรงของแสงแดด จะทำให้สิ่งที่คุณบำรุงมาทั้งหมดสลายหายไปได้อย่างรวดเร็ว แนะนำให้คุณเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปเพื่อปกป้องผิวของคุณจากรังสี UV แนะนำให้สวมหมวกและเสื้อแขนยาวเมื่อต้องออกกลางแจ้ง และหลีกเลี่ยงช่วงเวลาที่มีแสงแดดจ้าระหว่าง 10.00 – 16.00 น.

การกินอาหารที่มีประโยชน์ต่อผิวหน้า

การล้างหน้าที่ถูกต้อง

มีอาหารหลายอย่างที่จะเข้าไปช่วยเสริมประโยชน์ต่อผิว ทำให้ผิวหน้าของคุณดูดีมากขึ้น ถ้าคุณอยากจะทำความรู้จักกับอาหารที่กินแล้วมีส่วนช่วยในการรักษาผิวหน้าให้ดีแบบสุด ๆ เราก็มีมาแนะนำกัน

  • ปลาที่มีไขมันดี เช่น ปลาแซลมอน ปลาแมคเคอเรล ที่อัดแน่นไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 ทำหน้าที่ช่วยลดการอักเสบและทำให้ผิวชุ่มชื้น
  • ถั่ว เช่น อัลมอนด์ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ อัดแน่นไปด้วยวิตามินE สารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องผิวของคุณ จากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ
  • ผักใบเขียว เช่น ผักโขม คะน้า และกระหล่ำปลี อุดมไปด้วยวิตามิน A และ C ซึ่งทำหน้าที่ส่งเสริมสุขภาพผิวและป้องกันความเสียหายของผิว ที่เกิดจากรังสี UV
  • มะเขือเทศอุดมไปด้วยไลโคปีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปกป้องผิวจากความเสียหายที่เกิดจากรังสี UV

ถึงแม้ว่าการล้างหน้าที่ถูกต้อง จะเป็นหนึ่งในสิ่งที่มีความสำคัญมากในการดูแลผิวของคุณ  แต่อย่างไรก็ตามก็ยังมีองค์ประกอบและปัจจัยในด้านอื่น ๆ อีกที่คุณจะต้องใส่ใจ  หากคุณอยากสวยขึ้นขาวขึ้น และผิวดี ไม่ว่าจะเป็นการเลือกสกินแคร์ หรือไม่ว่าจะเป็นการเลือก รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อผิวหน้า ซึ่งนอกจากจะเป็นการบำรุงผิวหน้าจากภายนอกแล้ว ในขณะเดียวกันก็ยังเป็นการบำรุงผิวหน้าจากภายในควบคู่กันไปอีกด้วย และสิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งก็คือในกรณีที่ผิวของคุณเป็นสิว ก็จะต้องใช้เวลาในการรักษา ดังนั้นอย่าลืมดูแลสภาพจิตใจของตนเองให้ปลอดโปร่ง มีความเข้าใจต่อการรักษาสิวอย่างแท้จริง พยายามอย่าเครียด และดูแลผิวด้วยความใจเย็น


อ้างอิง

ผิวสวยหน้าใส บำรุงได้ด้วยคอลลาเจน

ผิวสวยหน้าใส คือต้องใส่ใจในการดูแลเป็นทั้งสำหรับผู้หญิงและผู้ชายในทุกวัย ซึ่งการใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับบำรุงผิวหน้าที่มีคอลลาเจนเป็นส่วนประกอบหลัก จึงเป็นวิธีการที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบันนี้ ในบทความนี้จึงพูดถึงประโยชน์ของคอลลาเจนต่อผิวหน้าและวิธีการดูแลผิวหน้าด้วยคอลลาเจนเพื่อช่วยให้คุณได้ผิวสวยหน้าใสที่มีความนุ่มนวลและชุ่มชื้นอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยเทคนิคและวิธีการที่ถูกต้องที่จะช่วยให้คุณได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในการดูแลผิวหน้าของคุณได้


ผิวสวยหน้าใส ด้วยคอลลาเจน

ผิวสวยหน้าใส

ผิวสวยหน้าใส เป็นความปรารถนาของหลายคน ซึ่งการดูแลผิวหน้าด้วยวิธีที่ถูกต้องจะช่วยให้ได้ผลดีเป็นอย่างมาก ซึ่งประโยชน์ของคอลลาเจนต่อผิวหน้าที่จะช่วยให้คุณได้ผิวสวยหน้าใสอย่างมีประสิทธิภาพนั้นสามารถหาได้จากธรรมชาติหรือ อาหารเสริมคอลลาเจน ทั่วไป เนื่องจากคอลลาเจนเป็นโปรตีนที่มีอยู่ในร่างกายของคนเราอยู่เป็นปริมาณมาก โดยเฉพาะอยู่ในผิวหนัง กระดูก และเส้นเอ็น แต่เมื่อเริ่มเข้าสู่วัยที่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนว่าคอลลาเจนในร่างกายลดลงก็อาจทำให้ผิวหน้าเสื่อมสภาพได้ ซึ่งการรับประทานคอลลาเจนสามารถช่วยเพิ่มปริมาณคอลลาเจนในร่างกายได้ และสามารถช่วยปรับปรุงสุขภาพของผิวหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ


1. หน้าที่ของคอลลาเจนต่อผิวหน้า

คอลลาเจนมีหน้าที่เสริมสร้างเนื้อเยื่อผิวหนัง เพื่อช่วยให้ผิวหน้ามีความยืดหยุ่น และไม่เสียเปลี่ยนไปง่าย ๆ อีกทั้งยังช่วยเสริมสร้างเนื้อเยื่อของผิวหนัง เพื่อช่วยลดริ้วรอย และเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า


2. การรับประทานคอลลาเจนเพื่อผิวหน้า

เมื่อร่างกายเริ่มมีการสูญเสียคอลลาเจน การรับประทานคอลลาเจนเป็นวิธีหนึ่งที่สามารถช่วยเพิ่มปริมาณคอลลาเจนในร่างกายได้ ในปัจจุบันนี้มีหลายวิธีในการรับประทานคอลลาเจน อาทิเช่น รับประทานอาหารที่มีส่วนประกอบของคอลลาเจน เช่น ปลา สตูและเนื้อวัว เป็นต้น รวมถึงการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีคอลลาเจน เช่น ผงคอลลาเจนหรือเม็ดคอลลาเจน และยังมีเครื่องดื่มคอลลาเจนที่เป็นที่นิยมอย่างมากในปัจจุบันอีกด้วย


3. การดูแลผิวหน้าด้วยคอลลาเจน

นอกจากการรับประทานคอลลาเจนเพื่อเพิ่มปริมาณคอลลาเจนในร่างกายแล้ว ยังมีวิธีการดูแลผิวหน้าด้วยคอลลาเจนอีกด้วย อาทิเช่น การใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับบำรุงผิวหน้าที่มีคอลลาเจนเป็นส่วนประกอบหลัก เช่น ครีมบำรุงผิวหน้า หน้ากากหรือเซรั่ม ที่มีคอลลาเจนเข้าไปช่วยบำรุงผิวหน้าซึ่งสามารถช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้าได้ และช่วยปรับปรุงสภาพผิวหน้าให้เป็นผิวสวยหน้าใสได้อย่างมีประสิทธิภาพ


7 วิธีบำรุง ผิวสวยหน้าใส แบบยั่งยืน

ผิวสวยหน้าใส

การบำรุงผิวให้สวยเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องทำเพื่อดูแลรักษาสุขภาพของผิวหน้าอย่างถูกต้อง ด้วยเหตุนี้ในบทความนี้จึงจะนำเสนอวิธีบำรุงผิวให้สวยบนใบหน้าให้ท่านได้อ่านและนำไปปฏิบัติตามได้ง่าย ๆ ดังนี้

1. ทำความสะอาดใบหน้าอย่างถูกต้อง

การทำความสะอาดใบหน้าอย่างถูกต้องเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบำรุงผิวหน้า เพราะหากไม่ทำความสะอาดให้ดีอาจทำให้หน้ามันเป็นสิวและผิวหน้าก็จะค่อย ๆ มีปัญหาตามมาได้

2. ใช้ที่นอนที่มีคุณภาพ

การนอนหลับในที่นอนที่มีคุณภาพสูงสามารถช่วยบำรุงผิวหน้าได้เป็นอย่างมาก เนื่องจากช่วยให้ผิวหน้าสดชื่นและไม่มีเส้นรอยและเป็นการช่วยลดเวลาการเกิดริ้วรอยต่าง ๆ บนผิวหน้าได้

3. ใช้น้ำมะพร้าวบนผิวหน้า

น้ำมะพร้าวเป็นอาหารที่มีคุณค่าสูง ช่วยบำรุงผิวหน้าให้ชุ่มชื่นและเพิ่มความอ่อนเยาว์ให้กับผิวหน้า สามารถทานมะพร้าวในรูปแบบของน้ำหรือชิ้นเนื้อผสมผสานกับเครื่องสำอางหรือใช้ทาให้ผิวหน้าโดยตรง

4. ใช้สมุนไพรเพื่อบำรุงผิวหน้า

สมุนไพรบางชนิดมีสารอาหารและวิตามินที่มีประโยชน์ต่อผิวหน้า เช่น พริกไทยขาวที่มีสารประกอบของวิตามินซีและวิตามินบี โดยสามารถนำมาบดและทาบนใบหน้าได้

5. ใช้ครีมบำรุงผิวหน้าที่เหมาะสม

ครีมบำรุงผิวหน้าเป็นสิ่งที่สำคัญในการบำรุงผิวหน้า เนื่องจากช่วยให้ผิวหน้าชุ่มชื่นและสดชื่น นอกจากนี้ยังช่วยปกป้องผิวหน้าจากแสงแดดและสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ ที่อาจทำให้ผิวหน้าเสียหายได้ ควรเลือกใช้ครีมบำรุงผิวหน้าที่เหมาะสมกับสภาพผิวหน้า หากคุณกำลังมองหาครีมที่ชุ่มชื่น เราขอแนะนำบทความ 10 ครีมบำรุงช่วยให้ผิวหน้าแห้ง

6. อาหารที่เหมาะสม

การบำรุงผิวหน้าไม่ได้แค่การทำความสะอาดใบหน้า การดื่มน้ำเพียงพอ การใช้ครีมบำรุงผิวหน้าที่เหมาะสม และอาหารที่เหมาะสมก็เป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน ควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อผิวหน้า เช่น ผลไม้และผักสีสันต่าง ๆ ที่มีวิตามินและแร่ธาตุต่าง ๆ ซึ่งช่วยเสริมสร้างสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อผิวหน้าได้

7. หลีกเลี่ยงสิ่งที่อาจเสียหายต่อผิวหน้า

การหลีกเลี่ยงสิ่งที่อาจเสียหายต่อผิวหน้าเป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน เช่น หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งจะทำให้ผิวหน้าขาดน้ำและสามารถทำให้เสียหายได้


พฤติกรรมที่ช่วยสร้างผิวสวยได้จากภายใน

ผิวสวยหน้าใส

  • ดื่มน้ำเพียงพอ: การดื่มน้ำเพียงพอจะช่วยให้ร่างกายของคุณมีความชุ่มชื้นเพียงพอและสามารถแก้มตามองได้ง่าย นอกจากนี้ การดื่มน้ำเพียงพอยังช่วยล้างสารพิษออกจากร่างกายออกและช่วยลดการเกิดสิวและริ้วรอยบนผิวหน้าได้ด้วย
  • ออกกำลังกาย: การออกกำลังกายเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเพิ่มการไหลเวียนของเลือดและออกซิเจนไปยังผิวหน้า ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างเนื้อเยื่อผิวหนัง และช่วยลดการเกิดริ้วรอย
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์: อาหารที่มีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ เช่น ผัก ผลไม้ และอาหารที่มีปริมาณโปรตีนสูง จะช่วยสร้างเนื้อเยื่อผิวหนังและป้องกันการสูญเสียคอลลาเจน
  • การใช้เครื่องมือและผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม: การใช้เครื่องมือที่เหมาะสม เช่น แปรงทำความสะอาดหน้า
  • การลดการสัมผัสกับแสงแดด: การสัมผัสกับแสงแดดโดยตรงจะทำให้ผิวหน้าของคุณแห้งและเสียเปลี่ยนไปง่ายๆ ดังนั้นควรใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดและหมวกป้องกันแสงแดดเมื่อออกนอกในช่วงเวลาที่แสงแดดแรง
  • การทำความสะอาดผิวหน้า: การทำความสะอาดผิวหน้าเป็นเรื่องสำคัญในการดูแลผิวหน้า เพราะจะช่วยกำจัดสิ่งสกปรกและเซลล์ผิวหน้าที่ตายออกไป ทำให้ผิวหน้าของคุณสะอาด และช่วยให้ผิวหน้าสวยงามมากยิ่งขึ้น
  • การเลือกใช้ครีมให้เหมาะกับผิวหน้า: การใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมเพื่อบำรุงผิวหน้า เช่น ครีมบำรุงผิวหน้า หน้ากาก หรือเซรั่ม จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า และช่วยปรับปรุงสภาพผิวหน้าให้เป็นผิวสวยหน้าใสได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • การหลีกเลี่ยงสิ่งที่อาจทำให้ผิวหน้าเสียเปลี่ยนไป: การเลี่ยงสิ่งที่อาจทำให้ผิวหน้าเสียเปลี่ยนไป อาทิเช่น การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ การสัมผัสกับสารเคมี และการสัมผัสกับแสงแดดโดยตรง เป็นต้น

วิธีการดูแลผิวหน้าให้มีความชุ่มชื้น

ผิวสวยหน้าใส

แนะนำวิธีการดูแลผิวหน้าเพื่อให้มีการเติมเต็มความชุ่มชื้นและความอ่อนเยาว์ได้ดังนี้:

  • ทำความสะอาดผิวหน้าอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเอาเศษเหลือของเครื่องสำอางและสิ่งสกปรกอื่นๆออกจากผิวหน้า ใช้สารล้างหน้าที่เหมาะสมสำหรับประเภทผิวของคุณ
  • ใช้โทนเนอร์หลังจากล้างหน้าเพื่อเตรียมผิวให้พร้อมสำหรับการใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวต่อไป
  • เลือกใช้ครีมให้เหมาะกับประเภทผิวของคุณ เช่น ครีมบำรุงผิวหน้าที่มีสารต้านอนุมูลสร้าง สารช่วยกระชับผิวหน้า หรือสารช่วยให้ผิวเนียนเรียบเนียน
  • ใช้แผ่นมาร์คหน้าหลังจากใช้ครีมบำรุงผิวหน้าเพื่อช่วยเติมความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า
  • เลือกใช้ครีมกันแดดให้เหมาะกับวัย และใช้กันแดดทุกครั้งที่ออกจากบ้าน เพราะแสงแดดเป็นตัวกระตุ้นการเกิดริ้วรอยและเสียสีผิวหน้า
  • หลีกเลี่ยงการใช้สิ่งที่อาจทำให้ผิวหน้าเสียหาย เช่น สบู่หรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีสารเคมีที่อาจทำให้ผิวหน้าแห้งเป็นต้น
  • อย่าลืมทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อผิวหน้า เช่น ผลไม้ และผักที่มีวิตามินและเส้นใยสูง เพื่อเพิ่มความสดชื่นให้กับผิวหน้า
  • พักผ่อนให้เพียงพอและหลีกเลี่ยงสตรีซในชีวิตประจำวัน เพราะการทำงานหนักหรือเครียดจะทำให้ผิวหน้าเสียหายได้
  • นอนหลับให้เพียงพอ เพราะการนอนไม่เพียงพอจะทำให้ผิวหน้าดูเหนื่อยเพรียว และอาจทำให้เกิดฝ้าและกระจุกดำบริเวณใบหน้าได้
  • พูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลผิวหน้า เพื่อให้ได้คำแนะนำและวิธีการดูแลผิวหน้าที่เหมาะสมกับประเภทผิวของคุณ

นอกจากการดูแลผิวหน้าด้วยวิธีการทั่วไปที่กล่าวมาแล้ว ยังมีวิธีการดูแลผิวหน้าอื่นๆ ที่อาจช่วยเพิ่มความสวยสดใสและช่วยบำรุงผิวหน้าได้อย่างดี เช่น

  • การทำสปาหน้าที่ช่วยเติมความชุ่มชื้นและความสดชื่นให้กับผิวหน้า โดยใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ เช่น มะพร้าว, ผลไม้, และน้ำมันพืชต่างๆ
  • การนวดหน้าที่ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและยกกระชับผิวหน้า โดยใช้น้ำมันหอมระเหยต่างๆ หรือเครื่องมือนวดหน้าเฉพาะที่
  • การใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น เลเซอร์หน้า, ไฟฟ้าสเตอร์ไลท์ หรือ วิธีการดูแลผิวหน้าด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต่างๆ เช่น เลเซอร์สัมผัสแบบมิโครเนี้ยน, ไฮเดรตีเดอร์มา, และโทโฟเทอร์ปรับสมดุลความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า
  • การรักษาผิวหน้าโดยใช้ศาสตร์เคมี เช่น การใช้กระบวนการผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยและเป็นมิตรกับผิว โดยไม่ใช้สารเคมีที่อาจเสียหายต่อผิวหน้า หรือการผสมผสานสารสกัดจากธรรมชาติเพื่อเสริมสร้างสารอาหารสำหรับผิวหน้า

การดูแลผิวหน้าเพื่อให้ได้ ผิวสวยหน้าใส  แบบยั่งยืนนั้นไม่ได้มีอยู่เพียงวิธีเดียว แต่เป็นการรวมกันของหลายวิธี ดังนั้นจึงต้องมีความตั้งใจและการปฏิบัติตามเทคนิคการดูแลผิวหน้าที่ถูกต้องอย่างต่อเนื่อง เพราะผิวหน้าเป็นส่วนที่ใคร ๆ ก็เห็นได้ชัดที่สุด ดังนั้นการดูแลผิวหน้าที่ดีจะช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นในการดูแลสุขภาพผิวหน้าของคุณให้เหมาะสมกับอายุและสภาพผิวหน้าของคุณในแต่ละช่วงเวลา


อ้างอิงจาก :

บำรุงรอบดวงตา ด้วยวิธีธรรมชาติให้ดูสดใสและลดรอยตีนกา

บำรุงรอบดวงตา บอกลารอยตีนกา พบเจอกับดวงตาที่มีความหวานเต่งตึงเหมือนเด็กอายุ 18 อีกครั้ง เพราะคนเราเมื่ออายุมากขึ้นแน่นอนว่าใบหน้าก็จะมีการเหี่ยวย่น หนึ่งในนั้นคือบริเวณรอบดวงตาของเราซึ่งเป็นหนึ่งในปัญหาผิวบนใบหน้าที่ผู้คนนั้นมักเจอ ไม่ว่าจะเป็นการเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นตามรอบดวงตาหรือที่เรียกง่าย ๆ ว่ารอยตีนกานั่นเอง บางคนอาจจะทำให้หมดความมั่นใจในตอนยิ้มไปเลย แน่นอนว่าบางครั้งการเข้าคลินิกเลือกวิธีรักษาเป็นคอร์สราคาก็แสนจะแพงจนทำให้เกินงบประมาณ หรือบางคนอาจจะซื้อเป็นครีมทาเฉพาะดวงตาที่สามารถช่วยกระชับอยู่ได้สักพักหนึ่ง แต่การใช้ครีมก็ไม่ได้เหมาะสำหรับทุกคน เพราะผิวหน้าหรือว่าผิวรอบดวงตาของคนเรามีความแตกต่างกันออกไป ทำให้การรักษาแบบวิธีธรรมชาติก็มีหลากหลายวิธีที่เป็นหนึ่งในทางเลือกที่ดีเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นสูตรจำพวกแบบใบบัวบกหรือสูตรใบตำลึงที่เพิ่มความเต่งตึงและลดริ้วรอย หากคุณอยากบำรุงรอบดวงตาให้กลบับมาสดใสด้วยวิธีธรรมชาติ มาดูกันว่าต้องทำอย่าไรบ้าง


สาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหารอบดวงตา

บำรุงรอบดวงตา

สาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหารอบดวงตา คือ คนเราเมื่ออายุมากขึ้น ‘อีลาสติน’ หรือที่เรียกว่า ‘เส้นใยในผิว’ รวมไปถึงคอลลาเจนที่จะมาช่วยเสริมสร้างความยืดหยุ่นและแข็งแรงให้ผิวนั้นจะค่อย ๆ ลดลงนั่นเอง และผลที่เกิดตามมาก็จะทำให้เกิดเป็นรอยเหี่ยวย่นและรอยตีนกาอย่างที่บอกไป บางคนก็มีการเข้าคอร์สรักษาตามคลินิกก็จะเห็นผลลัพธ์ไปตาม ๆ กัน แต่บางครั้งก็จำเป็นจะต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก จึงทำให้การ วิธีลดเลือนริ้วรอยรอบดวงตา ด้วยวิธีธรรมชาติแบบง่าย ๆ ก็เห็นผลลัพธ์ได้เช่นเดียวกัน แต่อาจจะช้ามากกว่าการเข้าคลินิก

นอกจากนี้ ยังมีอีกหลากหลายปัญหาที่ทำให้เกิดริ้วรอบบริเวณรอบดวงตาได้ ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมการแสดงอารมณ์ทางใบหน้าที่มากจนเกินไปทั้งการยิ้มและขมวดคิ้ว สิ่งเหล่านี้จะเป็นปัจจัยสำคัญหลัก ๆ ที่ถึงแม้เราจะมีอายุน้อยก็สามารถทำให้เกิดริ้วรอยบริเวณรอบดวงตาหรือรอยตีนกาได้เช่นกัน


วิธี บำรุงรอบดวงตา แบบธรรมขาติ

บำรุงรอบดวงตา

บำรุงรอบดวงตา แบบธรรมชาติสามารถทำตามได้ ไม่ว่าจะเป็นทั้งการเลือกรับประทานอาหาร การใช้ชีวิตประจำวัน  หรือ ไนท์ครีมช่วยบำรุงผิวกลางคืน วันนี้แอดมินจึงนำเคล็ดลับที่ไม่ลับอีกต่อไปที่คุณนั้นสามารถทำให้รอบดวงตาไม่มีรอยตีนกาบวกกับวิธีการบำรุงไปได้ในตัว

  • พิ่มคอลลาเจนบริเวณรอบดวงตา เพราะการสูญเสียคอลลาเจนถือว่าเป็นอีกหนึ่งสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดริ้วรอยรอบดวงตาหรือตีนกาได้ การเติมเต็มคอลลาเจนในร่างกายจึงมีส่วนช่วยทำให้ลดการเกิดริ้วรอยก่อนวัยและช่วยลดเรือนริ้วรอยได้ คุณสามารถหาแหล่งคอลลาเจนได้จากอาหารต่าง ๆ รวมถึงรูปแบบอาหารเสริมคอลลาเจนที่วางขายในตลาดสุขภาพและความงาม
  • เลือกกินอาหารที่ดีต่อการบำรุงสายตา ไม่ว่าจะเป็นผักผลไม้ ผักใบเขียว อะโวคาโด รวมไปถึงไข่ที่มีโปรตีนสูงจะช่วยซ่อมแซมร่างกายลอยเป็นการเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี
  • การดูแลรักษาทำความสะอาดบริเวณขอบดวงตาอยู่เป็นประจำ ไม่ควรขยี้ดวงตาบ่อยหรือจะเลือกใช้เป็นการบำรุงแบบธรรมชาติ อย่างเช่น บำรุงรอบดวงตาด้วยใช้แตงกวา เป็นต้น สิ่งเหล่านี้เป็นการรักษารอบดวงตาแบบธรรมชาติที่ดีมาก ๆ
  • บำรุงดวงตาวิธีที่ดีคือการจิบน้ำบ่อย ๆ จะช่วยทำให้ร่างกายดูดซึมเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับดวงตา บวกกับการนอนพักผ่อนให้เพียงพอ จะช่วยทำให้ดวงตาของคุณนั้นได้พักกับความเหนื่อยล้าจากการทำงานหนัก
  • การใช้สมุนไพร เช่น ตะไคร้ รากว่า ยี่หร่า มะกรูด มะเขือเทศ สาหร่ายเส้น และลูกชิ้นชะอม ซึ่งมีสารอาหารที่จำเป็นสำหรับการบำรุงดวงตาและการลดการเสื่อมสภาพของดวงตาได้
  • รับประทานอาหารที่เหมาะสม เพราะการรับประทานอาหารที่เหมาะสมสามารถช่วยให้ระบบตาแข็งแรงและสมบูรณ์ได้ดียิ่งขึ้น อาหารที่มีประโยชน์สำหรับดวงตาได้แก่ ผักใบเขียวเข้ม เช่น ผักกาดขาว คะน้า ผักกาดหอม และผักกูด ผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง เช่น ส้ม และแตงกวา และอาหารที่มีปริมาณแคลอรี่ต่ำ เช่น ปลา เนื้อไก่ เป็นต้น
  • การพักผ่อนอย่างเพียงพอ จะช่วยลดความเครียดและประสิทธิภาพของการทำงานของตา ให้เรามีพลังงานที่เพียงพอในการทำกิจกรรมประจำวัน โดยการนอนหลับให้เพียงพอและปรับปรุงการนอนให้มีคุณภาพดีขึ้น
  • การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สามารถทำให้ดวงตาเสื่อมสภาพได้และทำให้เกิดริ้วรอยต่าง ๆ ดังนั้นควรลดหรือเลิกสูบบุหรี่และไม่ดื่มแอลกอฮอล์เพื่อสุขภาพดวงตาที่ดี

นอกจากนี้ ยังมีวิธีธรรมชาติอื่น ๆ อีกมากมายในการบำรุงรอบดวงตาแบบธรรมชาติ หากไม่อยากเสียเงินเข้าคลินิกแพง ๆ อย่าง ขั้นตอนในการทาสกินแคร์รูทีน ก็สำคัญเช่นกัน วันนี้แอดมินมีสูตรลับมาจากสาว ๆ หลายคนที่มีปัญหาเหล่านี้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการรักษาแบบวิธีธรรมชาตินั้นจะใช้เวลาในการบำรุงและเห็นผลได้ช้า แต่ก็ถือว่าเป็นวิธีที่ปลอดภัย ไม่แพง ไม่ต้องเสียตังค์เยอะก็สามารถที่จะมีใบหน้ารอบดวงตาที่กลับมาอิ่มฟูเต่งตึงเหมือนเดิม


สูตรลดริ้วรอย บำรุงรอบดวงตา

บำรุงรอบดวงตาด้วยวิธีธรรมชาติที่อยู่บ้านก็สามารถทำได้ แทบไม่ต้องไปเข้าคอร์สคลินิกก็เห็นผลลัพธ์ได้ในไม่ช้าหากบำรุงในทุก ๆ วันนี้แอดมินจะมาแจกสูตรลดริ้วรอยลดรอยตีนกาและบำรุงขอบตาไปในตัว จะมีอะไรบ้างนั้นมาดูกัน

  1. บำรุงรอบดวงตาด้วย แตงกวา

บำรุงรอบดวงตา

สูตรการใช้แตงกวาจะช่วยทำให้ผิวนุ่มชุ่มชื้นและลดรอยตีนกาได้เป็นอย่างดี เป็นวิธีธรรมชาติแบบดั้งเดิมที่ดีที่สุดเพราะสารในแตงกวานั้นจะมีความอิ่มน้ำ เมื่อนำมาร์คบริเวณรอบดวงตาจะช่วยเพิ่มความเต่งตึงได้นั่นเอง โดยนำแตงกวามาฝานให้เป็นแผ่นบาง ๆ ประทับบนเปลือกตาเอาไว้ให้ได้ประมาณ 20 นาทีต่อครั้ง อย่างน้อยควรทำอาทิตย์ละครั้งหรือ 2-3 ครั้งก็ได้ ซึ่งแตงกว่าจะมีทั้งวิตามินแร่ธาตุที่จะช่วยฟื้นฟูและลดรอยได้ดี สูตรนี้จะเป็นสูตรที่เหมาะสำหรับคนที่มีผิวหน้าที่แห้งอีกด้วย

  1. ไข่ขาวเพิ่มความกระชับ

บำรุงรอบดวงตาไข่ขาวเพิ่มความกระชับ

สูตรไข่ขาวเพิ่มความกระชับรอบดวงตา วิธีนี้ทำได้โดยการนำไข่มาตอกใส่ถ้วยหรือจะมีการแยกไข่แดงออกเอาแต่ไข่ขาวมาตีให้เป็นฟู ๆ ก็ได้ จากนั้นนำสำลีมาชุบแล้วค่อย ๆ นวดหรือทาบริเวณโหนกแก้มรอบดวงตาแล้วทิ้งไว้ประมาณ 10 นาทีและล้างออกด้วยน้ำสะอาด

  1. สูตรมะขามเปียก

บำรุงรอบดวงตาด้วยมะขามเปียก

สูตรการใช้มะขามเปียกเหมาะกับคนที่ผิวมัน ให้นำส่วนผสมมะขามเปียก 1 กรัม น้ำผึ้งประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ และนมรสจืด 3 ช้อนโต๊ะ คนส่วนผสมเหล่านี้ให้เข้ากันและตามด้วยกรองใส่ผ้าขาวบาง จากนั้นก็ใส่ภาชนะปิดเก็บไว้ในตู้เย็นรอสักพักหนึ่ง ก่อนที่อยากใช้สูตรนี้ต้องล้างหน้าให้สะอาดหมดจด นำมามาร์กไว้ประมาณ 10 นาที แล้วค่อยล้างออก


สูตรบำรุงรอบดวงตาเหล่านี้ ถือว่าเป็นวิธีแบบธรรมชาติที่สามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยตัวคุณเอง เพราะส่วนผสมนั้นก็ถือว่าหาได้ไม่ยากและมีราคาไม่แพงเลย หากใครที่อยากให้ดวงตากลับมาดูสดใสและไม่มีริ้วรอย ลองนำสูตรเหล่านี้ไปใช้แต่ แต่ที่สำคัญก็อย่าลืมหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่อาจจะทำให้เกิดริ้วรอยได้ เช่น การขมวดคิ้วบ่อย ๆ หรือการแสดงสีหน้าท่าทางต่าง ๆ 


อ้างอิงจาก :

เลือกลิปสติกให้เข้ากับสีผิว แต่งลุคไหนก็รอด!

การเลือกลิปสติกนอกจากผู้หญิงหลายคนจะเลือกจากแพ็กเกจที่น่ารักจนสะดุดสายตาแล้ว การ ‘ เลือกลิปสติกให้เข้ากับสีผิว ’ ก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน เพราะต่อให้แพ็กเกจสวย น่ารัก ขนาดไหน แต่หากคุณเลือกสีลิปที่ไม่เข้ากับสีผิวของคุณก็อาจทำให้การแต่งหน้าวันนั้นดูไม่ปังหรือใบหน้าดูไม่สดใสได้ หากคุณอยากรู้ว่าแต่ละสีผิวต้องทาลิปสติกสีไหนถึงจะเข้ากับผิวและทำให้ใบหน้าดูสวย เปล่งปลั่งมากที่สุด วันนี้เรามีคำตอบมาให้คุณแล้ว


ทำความรู้จักกับ ‘อันเดอร์โทน’ ผิวของคุณอยู่โทนสีผิวไหน

เลือกลิปสติกให้เข้ากับสีผิว

อันเดอร์โทนสีผิว (Undertone) คือ สีของผิวหนังของคุณซึ่งเรียกได้ว่าเป็นสีจริง ๆ ที่ดูจากเม็ดสีเมลานินภายใต้ผิวหนัง หากคุณรู้จักกับโทนสีผิวของคุณแล้วมันจะช่วยให้คุณหาเสื้อผ้าที่จะสวมใส่ รวมถึงเครื่องประดับและเฉดสีการแต่งหน้าได้ง่ายขึ้น โดยอันเดอร์โทนสีผิวจะแบ่งออกเป็น 3 โทน ดังนี้

  • สีผิว Cool Tone : โทนสีผิวนี้จะเรียกว่า ‘ผิวโทนเย็น’ หรือ ‘ผิวโทนชมพู’ ให้คุณสังเกตที่ข้อมือหากมีเส้นเลือดเป็นสีม่วงหรือสีน้ำเงิน แสดงว่าอันเดอร์โทนของคุณอยู่ในโทนสีผิวนี้ ซึ่งเสื้อผ้าหรือเครื่องสำอางที่เหมาะกับคนสีผิวโทนนี้จะได้แก่ สีเขียว สีพีช สีฟ้า สีชมพู สีน้ำตาลนู้ด สีเขียวอมฟ้า สีฟ้าพาสเทล สีส้มนู้ด สีม่วง สีม่วงแดง สีแดง เป็นต้น
  • สีผิว Warm Tone : โทนสีผิววอร์มโทน คือ ‘โทนผิวร้อน’ หรือ ‘ผิวเหลือง’ หากสีเส้นเลือดของคุณออกเป็นสีเขียวหรือเขียวขี้ม้า แสดงว่าอันเดอร์โทนของคุณอยู่ในระดับนี้ คุณสามารถสวมเสื้อผ้าหรือเครื่องสำอางเฉดสีกลาง เช่น สีครีม สีเบจ สีส้ม น้ำตาล ส้มอมชมพู หรือเหลืองอมเขียว เป็นต้น
  • สีผิว Neutral Tone : โทนสีผิวธรรมชาติ คือโทนสีผิวกลาง ๆ ระหว่างสีชมพูและสีเหลือง ซึ่งโทนนี้เรียกได้ว่าเป็นสภาพโทนสีผิวที่แต่งตัวหรือแต่งหน้าได้ง่ายมาก ๆ เพราะสามารถสวมเสื้อผ้าหรือใช้เครื่องสำอางโทนสีไหนก็ได้ หากเส้นเลือดของคุณเป็นสีน้ำเงินหรือสีเขียว แสดงว่าอันเดอร์โทนของคุณอยู่ในระดับนี้

เลือกลิปสติกให้เข้ากับสีผิว เทคนิคง่าย ๆ รอดทุกลุค-วิธีเลือกลิปสติก

เลือกลิปสติกให้เข้ากับสีผิว

ผิวขาว

สีลิปสติกสำหรับคนผิวขาว ควรเลือกสีที่เหมาะสมกับสีผิวของคุณเพื่อที่จะได้ช่วยขับผิวให้ดูขาวและหน้าดูเปล่งประกาย โดยสีที่เหมาะสมสำหรับคนผิวขาวจะเป็นสีลิปสติกโทนชมพู แดง หรือส้ม ซึ่งจะทำให้ผิวหน้าได้เป็นอย่างดี ซึ่งสีเหล่านี้ก็เรียกได้ว่าเป็นสีพื้นและเป็นไอเท็มเครื่องสำอางที่ผู้หญิงควรมี แต่สิ่งที่ต้องระวังอย่างหนึ่งของคนผิวขาวก็คือหากเลือกสีลิปสติกที่เป็นโทนอ่อนมากเกินไปอาจทำให้หน้าดูหมองและไม่สดใสได้

ผิวขาวเหลือง

ลิปสติกสำหรับคนผิวขาวเหลือง อาจเลือกเป็นประเภทของสีลิปสติกที่มีสีเข้มขึ้น เช่น น้ำตาลตุ่น สีบานเย็น หรือสีส้มอิฐ จะเหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนผิวสีนี้เพราะจะทำให้ใบหน้าดูสดใส มีชีวิตชีวา และดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น

ผิวเข้ม 

สำหรับคนผิวเข้ม สีลิปสติกที่เหมาะสมเรียกได้ว่าแทบจะทุกเฉดสี เพราะถึงแม้ว่าคนสีผิวนี้จะมีอันเดอร์โทนสีน้ำตาลเยอะแต่ก็สามารถทาลิปสติกได้หลายเฉดสีไม่จำเป็นต้องเป็นโทนใดโทนหนึ่งเท่านั้น แต่หากคุณเลือกทาลิปสติกสีนู้ด น้ำหรือ หรือสีแดงแบบเข้ม ๆ จะช่วยขับผิวได้เป็นอย่างดี แม้ว่าจะไม่ได้แต่งหน้าจัดเต็ม แต่เพียงแค่ทาลิปสีเหล่านี้ก็สามารถออกจากบ้านได้แบบไม่ดูโทรมแล้ว

ผิวสองสี

ลิปสติกสำหรับคนที่มีสีผิวสองสีสามารถเลือกได้หลายเฉดสีเช่นเดียวกับคนผิวเข้ม เพราะคนโทนสีนี้สามารถแต่งหน้าให้สวยละมุนได้ง่าย แต่สำหรับสีลิปสติกที่เข้ากับคนสีผิวโทนนี้มากที่สุดอาจเลือกเป็นสีโทนอิฐอย่างโทนส้มแดง สีชมพูอมส้ม หรือสีโทนนู้ด รวมถึงสีแดงเข้มหรือแดงกุหลาบก็สามารถทาลิปสติกสีนี้ได้เช่นกัน


เลือกลิปสติกให้เข้ากับสีผิว อย่างไรให้ปลอดภัยต่อร่างกาย

เลือกลิปสติกให้เข้ากับสีผิว

การใช้สีลิปสติก ช่วยทำให้ริมฝีปากของคุณดูสวยงามและใบหน้าดูสดใสขึ้น แต่อย่าลืมว่าการใช้ลิปสติกนั้นต้องปฏิบัติตามข้อแนะนำในการใช้งานและเลือกใช้ลิปสติกที่มีคุณภาพดี หรือเลือกเครื่องสำอางไทยคุณภาพดีก็ได้  เพื่อป้องกันการเกิดอาการผิดปกติหรืออาการแพ้ มาดูกันว่าจะต้องเลือกลิปสติกอย่างไรให้ปลอดภัยต่อร่างกาย

1. หลีกเลี่ยงลิปสติกที่มีน้ำหอม

การใช้ลิปสติกที่มีน้ำหอมอาจทำให้ลิปสติกมีความน่าซื้อและน่าใช้มากยิ่งขึ้น แต่อย่าลืมว่าน้ำหอมสามารถทำให้เกิดอาการแพ้ได้ ดังนั้น คุณควรเลือกใช้ลิปสติกที่ไม่มีน้ำหอมเพื่อความปลอดภัยและป้องกันไม่ให้เกิดการระคายเคืองหรืออาการแพ้ โดยสามารถดูข้อมูลส่วนประกอบเกี่ยวกับน้ำหอมที่ใช้บนฉลากลิปสติก 

2. หลีกเลี่ยงลิปสติกที่ใส่สารกันเสีย

แม้ว่าสารกันเสียจะมีประโยชน์ต่าง ๆ มากมายโดยการช่วยรักษาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ให้สามารถใช้งานได้นานขึ้นโดยไม่บูดหรือเสียไปก่อน แต่สารกันเสียบางชนิดก็อาจส่งผลเสียได้เช่นกันหากร่างกายได้รับสารชนิดนี้เข้าไปสะสมเป็นจำนวนมาก ซึ่งสารกันเสียที่ส่งผลเสียให้กับร่างกาย คือ Benzyl Benzoate, Parabens, BHT, Terpenes และ Phenoxyethanol  

3. ไม่ควรใช้ลิปสติกที่มีสารอันตราย

ลิปสติกบางชนิดอาจมีสารอันตรายเป็นส่วนผสมอยู่ ซึ่งสารอันตรายที่พบได้ในลิปสติกบางชนิดประกอบไปด้วย สารหนู สารตะกั่ว แอนติโมนี แคดเมียม หรือแมงกานีส หากลิปสติกมีสารเหล่านี้ผสมอยู่อาจทำให้ส่งผลต่อระบบประสาท ระบบหัวใจ หลอดเลือด รวมถึงอาจเป็นสารก่อมะเร็งได้ด้วยเช่นกัน

4. เช็ควันหมดอายุของลิปสติก

ลิปสติกหมดอายุอาจทำให้เกิดอาการแพ้หรือระคายเคืองได้ ส่วนใหญ่แล้วหลังจากการเปิดใช้งานลิปสติกทั่วไปจะสามารถใช้งานได้อีกประมาณ 1-2 ปี แต่ถ้าหากเป็นประเภทลิปกลอสจะสามารถใช้งานได้เพียง 1 ปีเท่านั้นจึงจะดีที่สุดต่อริมฝีปากของคุณ

5. เลือกลิปสติกที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติ

ลิปสติกที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติอาจเป็นทางเลือกสำหรับคนที่มีปัญหาแพ้สารปรอทหรือผู้ที่แพ้ต่อสารต่าง ๆ ได้ง่าย ลิปสติกที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติอาจประกอบด้วยสารพิษต่ำกว่าลิปสติกที่มีส่วนผสมจากสารเคมี แต่ลิปสติกที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติอาจมีปริมาณสารป้องกันเสียน้อยกว่า ซึ่งอาจทำให้ลิปสติกที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติมีความแข็งแรงน้อยกว่าหรือใช้งานได้ในระยะเวลาที่สั้นกว่าเท่านั้นเอง แต่มันก็นับว่าเป็นลิปสติกสีติดทนนานด้วยเช่นกันหากคุณเลือกที่มีคุณภาพดีสักหน่อย


เลือกลิปสติกให้เข้ากับสีผิว หากคุณรู้ว่าโทนผิวของคุณอยู่ในระดับไหนก็จะช่วยให้คุณเลือกสีลิปออกได้อย่างตรงใจ ทำให้ทาแล้วช่วยขับใบหน้าและทำให้ใบหน้าดูสดใสไม่หมองคล้ำได้ ที่สำคัญหากคุณได้สีลิปสติกที่ตรงใจแล้วก็อย่าลืมตรวจสอบรายการสารสกัดว่ามีส่วนประกอบที่อาจทำให้คุณแพ้หรือไม่ หรือตรวจสอบวันหมดอายุของลิปสติกก่อนใช้งานเพื่อให้ผลลัพธ์ของผลิตภัณฑ์ออกมาสวยสมบูรณ์แบบและใช้งานได้ดีที่สุด


อ้างอิง : 

รักษาฝ้าด้วยวิธีธรรมชาติ ช่วยให้หน้าเนียนใส ปลอดภัย 100%

การดูแลผิวหน้า เป็นเรื่องที่ค่อนข้างละเอียดอ่อนเป็นอย่างมาก ดังนั้นทุกคนอาจจะต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับการดูแล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสิว ปัญหาผิวไม่สม่ำเสมอ ความกระจ่างใสของผิวหน้า ที่ใคร ๆ ก็อยากจะรักษาหรือบำรุงให้สวยงามตามต้องการอยู่ตลอดเวลา แต่ปัจจัยหลายอย่างที่เข้ามาทำร้ายผิวหน้า ไม่ว่าจะเป็น อายุ ฮอร์โมน แสงแดด รวมไปถึงสิ่งแวดล้อมอย่างมลพิษในปัจจุบัน ทำให้ใครหลายคนเกิดภาวะต่าง ๆ บนใบหน้ามากมาย หนึ่งในนั้นก็คือเรื่องของ การเกิดฝ้านั่นเอง แน่นอนเลยว่าวันนี้พวกเราได้รวบรวมเรื่องของ “ฝ้า” ให้คนรักผิวหน้าได้ทำความเข้าใจ พร้อมทั้งอธิบายถึงสาเหตุที่แท้จริงของการเกิดฝ้า ผลกระทบที่จะตามมาในอนาคต รวมไปถึง คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการรักษาดูแลไม่ให้เกิดภาวะนี้ และที่สำคัญก็คือการป้องกันไม่ให้ภาวะนี้เข้าใกล้ผิวหน้าของคุณ ซึ่งเรื่องราวทั้งหมดจะรวบรวมข้อมูลที่เมื่อได้อ่านแล้วจะทำให้คุณเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้มากขึ้น เพราะนี่คือการ รักษาฝ้าด้วยวิธีธรรมชาติ ช่วยให้หน้าใส ปลอดภัย ไร้กังวล


สาเหตุของการเกิดฝ้า

รักษาฝ้าด้วยวิธีธรรมชาติ

สำหรับ “ฝ้า” คือปัญหาผิวที่มีลักษณะเป็นวงสีน้ำตาลอ่อน ไปจนถึงเข้ม โดยจะปรากฏออกมาเห็นอย่างชัดเจนในจุดต่าง ๆ บนใบหน้า ตัวอย่างเช่น โหนกแก้ม หน้าผาก รวมทั้งคาง โดยจะมีรู้แบบทั้งฝ้าลึก ฝ้าตื้น โดยปัญหาฝ้าบนใบหน้านั้นเป็นปัญหาที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น เพราะเมื่อเกิดขึ้นแล้ว จะมีวิธีการรักษาที่ค่อนข้างยาก ใช้เวลานาน ไม่หายขาด อีกทั้งความมั่นใจที่จะสูญเสียไปกับร่องรอยของ “ฝ้า” ที่จะเป็นผลกระทบทางด้านจิตใจด้วย ดังนั้นทุกคนจะต้องเรียนรู้เกี่ยวกับสาเหตุของการเกิดภาวะนี้ซึ่งพวกเราได้สรุปมาแบบสั้น ๆ เข้าใจง่ายถึง 4 ปัจจัยด้วยกันดังต่อไปนี้ 

1.กรรมพันธุ์ ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

กรรมพันธุ์ หรือ จะหมายถึง DNA ที่ส่งต่อมาจากพ่อ แม่ ซึ่งจะต้องบอกเลยว่าเมื่อใครเห็นว่าคนในครอบครัวนั้น เป็นฝ้าอยู่แล้ว ก็อาจจะทำให้ตัวของคุณเองมีความเสี่ยงที่จะเกิดฝ้าได้เช่นเดียวกัน เพราะว่าจะเป็นการส่งต่อจากรุ่น สู่รุ่น นี่จึงเป็นสาเหตุแรกที่คุณอาจจะเลี่ยงไม่ได้ต่อการเกิดฝ้า อย่างไรก็ตามก็ยังมีวิธีที่จะช่วยให้ยับยั้งไม่ให้ภาวะฝ้าถูกมองเห็นได้ง่าย ๆ จากวิธีการรักษาทั้งแบบธรรมชาติ และการรักษาทางการแพทย์ 

2.ฮอร์โมนในร่างกาย 

การดูแลร่างกาย รักษาสุขภาพให้ดีอยู่เสมอ ยังคงเป็นเรื่องที่ถูกพูดถึงอยู่เสมอ ซึ่งร่างกายหากอ่อนแอ หรือ ทำงานไม่เป็นระบบ ทุกอย่างก็จะเสียสมดุลไปด้วย ดังนั้นจะส่งผลให้ฮอร์โมนในร่างกายทำงานผิดพลาด ผิดเวลา นี่จึงเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดฝ้าบนใบหน้าเช่นเดียวกัน แต่สำหรับบางรายเช่น คุณผู้หญิงที่รับประทานยาคุมกำเนิด หรือ ในช่วยที่กำลังตั้งครรภ์ ก็จะมีภาวการณ์เกิดฝ้าบนใบหน้าด้วยเช่นเดียวกัน  ดังนั้นทางออกของเรื่องนี้ก็คือ จะต้องรักษาสมดุลร่างกายให้คงที่อยู่เสมอเป็นทางดีที่สุด ถึงแม้จะเลี่ยงไม่ได้ แต่ก็จำเป็นที่จะต้องรู้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับฮอร์โมนด้วยเช่นกัน 

3.อายุ และ กาลเวลา

เวลาหมุนเร็วขึ้นทุกวัน ใช่แล้วสิ่งนี้จะทำให้เรามีอายุที่มากขึ้น ดังนั้นเมื่ออายุมากขึ้น การเกิดฝ้าจะเกิดมากขึ้นในกลุ่มของผู้หญิง มากกว่าผู้ชาย เพราะเมื่ออายุมากขึ้นกลไกในการผลัดเซลล์ผิวของร่างกายก็ทำงานช้าลง อีกทั้งกาลเวลาที่ใช้ชีวิตมาอย่างยาวนาน การรับมลภาวะไม่ดี หรือ สิ่งแวดล้อมที่คอยทำร้ายผิว ก็ส่งผลให้อาจจะเกิดภาวะฝ้าบนใบหน้าได้นั่นเอง อีกหนึ่งเรื่องก็คือคอลลาเจนในผิวผลิตออกมาได้น้อยลงตามอายุ ทำให้สารต้านอนุมูลอิสระไม่เพียงพอต่อการรักษาสภาพผิวนั่นเอง 

4.แสงแดด ตัวร้ายทำลายผิว

สำหรับอันตรายจากแสงแดดนั้น ถือได้ว่าเป็นสาเหตุที่ทำร้ายผิวในทุกเรื่อง ซึ่งสาเหตุนี้จะนำไปสู่โรคผิวหนังหลายโรคทั้งบนใบหน้า รวมทั้งผิวกาย  ซึ่งใครที่ได้รับแสงแดดบ่อย ๆ ทำงานกลางแจ้ง จะมีรังสี   UVA  กับ UVB  ที่คอยทำร้ายผิวอยู่เสมอ ยิ่งไปกว่านั้นผู้ที่ไม่เคยได้ใช้ครีมกันแดดเลยก็มีโอกาสที่จะเกิดฝ้าบนผิวหน้าสูง สำหรับแสงแดดไม่ได้เป็นปัจจัยเดียวเท่านั้น แต่แสงสีฟ้าจากคอมพิวเตอร์ กับ โทรศัพท์ ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่คอยทำร้ายผิวอยู่เสมอ 

จะเห็นได้เลยว่าทั้ง 4 สาเหตุนี้ เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดภาวะฝ้าบนใบหน้า โดยการเกิดภาวะนี้ถึงแม้ว่าไม่ใช่โรคอันตรายแต่ค่อนข้างเสี่ยงมากที่ในอนาคตอาจจะมีการสะสมจนเกิดโรคร้ายแรงอย่าง มะเร็ง  หรือ ผิวหนังอักเสบ ซึ่งจะทำไปสู่ภาวะผิวแพ้ง่าย แต่เรื่องใหญ่เลยก็คือริ้วรอยฝ้าที่ยังคงอยู่บนใบหน้าทำให้สาว ๆ สูญเสียความมั่นใจไปอย่างมาก ด้วยภาวะที่รักษายากใช้เวลานาน อาจจะมีค่าใช้จ่ายสูงในระยะยาวนั้นทำให้ใครหลายคนถึงกับเครียดกับเรื่องนี้จนสุขภาพย่ำแย่ไปมากกว่าเดิมด้วย จึงทำให้การเลือกผลิตภัณฑ์ครีมกันแดดสำคัญเป็นอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตามการรักษาฝ้ายังสามารถใช้วิธีทางธรรมชาติ ที่คุณเองสามารถทำได้เองที่บ้านด้วยเช่นกัน แต่อาจจะต้องใช้ระยะเวลากับความอดทนสักหน่อย 


รักษาฝ้าด้วยวิธีธรรมชาติ ทำเองได้ง่าย ๆ ที่บ้าน

รักษาฝ้าด้วยวิธีธรรมชาติ

หลังจากที่พูดถึงเรื่องสาเหตุของการเกิดฝ้าไปแล้ว คราวนี้พวกเราก็จะมาแนะนำ วิธีรักษาฝ้าแบบธรรมชาติ สามารถทำได้เอง ถึงแม้ว่าเป็นเรื่องที่ไม่ยากมาก แต่อาจะต้องใช้เวลา ความอดทน รวมทั้งวินัยในการดูแลผิวอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ทำให้ผิวที่เป็นฝ้าหายขาดได้ แต่จะทำให้ดูจางลง และมีสุขภาพผิวหน้าที่ดีขึ้นนั่นเอง ซึ่งจะมีวิธีการรักษาในแบบออแกนิก ไร้สารเคมี จะเป็นผลดีต่อทุกสภาพผิวหน้า กับ 7 การรักษาฝ้าแบบธรรมชาติ ไร้สารเคมี 


1.วิตามิน A , C และ E ช่วยลดฝ้าได้

การรักษาฝ้าแบบธรรมชาติ เริ่มต้นได้จากการกิน ซึ่งแน่นอนเลยว่า วิตามิน A , C และ E จะมีคุณสมบัติอย่างสารต้านอนุมูลอิสระช่วยให้ลดการเกิดฝ้าได้ โดยวิตามินเหล่านี้มาจากผัก ผลไม้  แต่ทว่าจะต้องได้รับในปริมาณที่พอดีต่อวันไม่เช่นนั้นอาจจะส่งผลเสียต่อร่างกายได้ อีกหนึ่งข้อดีของการรับประทานวิตามินก็คือ จะช่วยให้ผิวแข็งแรง ทนต่อแสงแดดได้ดีนั่นเอง นี่จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่ไม่อยากเกิดฝ้ากับ วิตามินเอ ซี และ อี ที่จะช่วยในเรื่องนี้ได้แบบธรรมชาติไร้สารเคมี แต่จะเห็นผลมากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับร่างกายของแต่ละคน เพราะการดูดซึมวิตามินนั้นไม่เหมือนกัน

2.ว่านหางจระเข้ รักษาฝ้า

อีกหนึ่งสูตรธรรมชาติที่จะทราบกันดีก็คือ “ว่านหางจระเข้” ที่จะเป็นยาสมุนไพรขนานดีใช้สำหรับทาภายนอกเกี่ยวกับ แผล หรือ บำรุงผิว ซึ่งแน่นอนเลยว่าเจ้าพืชชนิดนี้สามารถรักษาฝ้าให้จางลงได้เช่นเดียวกัน โดยใช้ 1 ใบชองว่างหาง เลือกใบที่แก่แล้ว นำมาแช่น้ำ 10 นาที ปอกเปลือกออก ล้างน้ำให้สะอาด แล้วนำไปปั่นให้ละเอียด ขั้นตอนต่อมาให้พอกหน้าทิ้งไว้ 15-20 นาที ทำแบบนี้เป็นประจำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ก็จะช่วยให้ผิวหน้าดูมีความกระชับ ชุ่มชื้น ฝ้าที่เป็นอยู่จะจางลง สามารถใช้วิธีนี้เพื่อเป็นการบำรุงผิวหน้าได้อย่างต่อเนื่อง ไม่เป็นอันตรายต่อผิวหน้า แต่วิธีนี้อาจจะต้องใช้เวลาในการรักษา เพราะแต่ละคนอาจจะเห็นผลช้า หรือ เร็วที่ต่างกัน 

3.หัวไชเท้า พอกหน้า

สูตรรักษาฝ้าแบบธรรมชาติอย่างการใช้ หัวไชเท้านั้น ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ แต่สำหรับวิธีนี้จะช่วยให้ฝ้าดูจางลง พร้อมทั้งยังลดริ้วรอยต่าง ๆ ได้ พร้อมทั้งทำให้ผิวหน้าดูกระจ่างใสขึ้นอีกด้วย ซึ่งจะต้องนำหัวไชเท้านั้นมาบดหยาบ ๆ ผสมกับน้ำมะนาวเล็กน้อย แล้วนำมาพอกหน้าทิ้งเอาไว้ประมาณ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น โดยจะต้องทำแบบนี้เป็นประจำ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ หรือ จะทำวิธีนี้วันเว้นวันก็ได้เช่นกัน แต่วิธีรักษาฝ้าด้วยตัวเอง ข้อควรระวังคือสำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายนั้นไม่ควรใช้สูตรนี้ เพราะว่ามีมะนาวที่ออกฤทธิ์เป็นกรด อาจจะทำให้เกิดอาการอักเสบได้นั่นเอง 

4.มะขามเปียก ช่วยลดฝ้า 

อีกหนึ่งวิธีธรรมชาติที่หาได้จากก้นครัว นั่นก็คือ การนำมะขามเปียกมาสกัดน้ำข้น ๆ แล้วนำน้ำมาทาบาง ๆ ในบริเวณที่เป็นฝ้า ก่อนจะปล่อยทิ้งเอาไว้ประมาณ 3-5 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ผลลัพธ์ของวิธีนี้จะส่งผลให้รอยฝ้าดูจางลง อีกทั้งยังช่วยลดรอยด่างดำได้ดีด้วย ด้วยจุดเด่นของมะขามเปียกที่มีกรด AHA  กับคุณสมบัติที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าให้หลุดออกนั่นเอง

5.ใบบัวบก เช็ดแทนโทนเนอร์

โดยปกติทั่วไปแล้วเราเองจะใช้ โทนเนอร์ เช็ดเครื่องสำอาง ทำความสะอาดผิวหน้า ก่อนนอนเป็นประจำทุกวัน แต่สำหรับในครั้งนี้ใครที่เป็นฝ้าที่ผิวหน้า ให้นำใบบัวบกมาสกัดเช็ดแทน โดยมีวิธีการก็คือ นำใบบัวบกนั้นมาปั่น กรองเอาแต่น้ำ แล้วนำสำลีมาชุบน้ำสกัดใบบัวบก แล้วเช็ดทำความสะอาดแทน ซึ่งทำทุกวันก่อนนอน จะช่วยลดรอยฝ้าได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังส่งผลให้ผิวเรียบเนียน เป็นสูตรยอดนิยมที่ทำให้หน้าใส ไร้ริ้วรอยด้วย 

6.สูตรน้ำแอปเปิ้ลไซเดอร์

น้ำแอปเปิ้ลไซเดอร์เป็นอีกหนึ่งวิธีธรรมชาติที่จะช่วยลดฝ้า พร้อมทำให้ผิวเนียนนุ่มได้อีกครั้ง วิธีนี้จะต้องนำน้ำของแอปเปิ้ลไซเดอร์ มาผสมกับน้ำเปล่า เพื่อให้ลดกรดจากน้ำแอปเปิ้ล ต่อมาให้นำสำลีมาชุบแล้วเช็ดไปทั่วไปใบหน้า ก่อนจะปล่อยให้แห้งแล้วทำความสะอาดด้วยน้ำเย็น ทำแบบนี้สัปดาห์ละ 1 ครั้ง จะเห็นผลได้ว่ารอยฝ้าดูจางลง อีกทั้งยังช่วยบำรุงผิวให้ดูกระจ่างใสด้วย

7.ไข่ขาว พอกหน้า ลดฝ้า

ประโยชน์ของไข่เรียกได้ว่ามากมายเหลือล้น แต่งานนี้บอกเลยว่าในวงการความงาม ไข่ขาว จัดได้ว่าเป็นอีกหนึ่งวัตถุดิบทางธรรมชาติที่สำคัญมาก เพราะเมื่อนำมาผสมกับน้ำมะนาว จะได้เหมือนครีมพอกหน้าที่ช่วยลดฝ้าได้ โดยให้นำมาทาไปทั่วบริเวณในจุดที่เกิดฝ้า แล้วปล่อยทิ้งเอาไว้ประมาณ 5-10 นาที ก่อนที่จะล้างออกด้วยโฟมล้างหน้าปกติ โดยทำ 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ จะช่วยดูดซับสิ่งสกปรก ลดรอยฝ้า พร้อมทั้งบำรุงให้ผิวหน้าดูเรียบเนียนมากขึ้น 

ในปัจจุบันมีครีมรักษาฝ้า รวมทั้ง บำรุงผิวมากมาย แต่สำหรับคนแพ้ง่าย หรือ กลัวที่จะเป็นอย่างอื่นร่วมด้วยก็คงต้องลองวิธีการแบบธรรมชาติที่คุณทำเองได้ที่บ้าน ซึ่งนี่ก็คือ 7 การรักษาฝ้าแบบธรรมชาติ ไร้สารเคมี ซึ่งจะช่วยให้คนที่ผิวหน้าแพ้ง่าย หรือ ยังไม่มั่นใจ ลองวิธีการลดฝ้าแบบธรรมชาติดูก่อนเป็นอันดับแรก เพราะว่าจะเป็นวิธีที่ปลอดภัย 100% ไม่ต้องกังวลเรื่องสารเคมี หรือ สารตกค้างใด ๆ ยิ่งไปกว่านั้นทั้ง 7 วิธีนี้ยังใช้ได้ผลด้วย แต่สำหรับช่วงเวลาที่จะเห็นผลลัพธ์นั้นจะต้องใช้ความอดทน ความมีวินัยในการรักษา รวมทั้งการดูแลตัวเองอย่างต่อเนื่องของผู้ที่เป็นฝ้า จะต้องป้องกันตัวเองในระดับหนึ่งจากสาเหตุที่ทำให้เกิดฝ้า ไม่ว่าจะเป็น แสงแดด หรือ สิ่งแวดล้อมอื่น ๆ เมื่อรู้แบบนี้แล้วคุณเองก็จะต้องรู้จักวิธีป้องกันการเกิดฝ้าด้วยเช่นกัน 


วิธีป้องกันการเกิดฝ้า

รักษาฝ้าด้วยวิธีธรรมชาติ

ข้อมูลต่อไปนี้จะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการป้องกันการเกิดฝ้า ซึ่งผู้ที่อยู่ในภาวะเป็นฝ้าบนผิวหน้า หรือ ผู้ที่ยังไม่ได้เป็น ก็สามารถศึกษาเรียนรู้ไปพร้อม ๆ กันเป็นข้อมูลได้ ยิ่งไปกว่านั้นใครที่กำลังอยู่ในช่วงรักษาฝ้า ก็จำเป็นอย่างมากที่จะต้องเรียนรู้วิธีดูแลตัวเอง วิธีป้องกันตัวเองจากสาเหตุการเกิดฝ้า เพราะไม่เช่นนั้นแล้วการรักษาก็จะไม่ส่งผลต่อตัวเอง อีกทั้งอาจจะทำให้เกิดฝ้าในจุดอื่นบริเวณใบหน้าด้วยเช่นกัน โดยวิธีการป้องกันทั้งหมดจะมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ 

1.หลีกเลี่ยงแสงแดดจัด ตัวการทำร้ายผิว

แสงแดด คือ อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำร้ายผิวเป็นอย่างมาก เพราะว่ารังสียูวีเอ กับ ยูวีบี ทำร้ายผิวโดยตรง นอกจากการเกิดฝ้า กระ หรือ ทำให้ผิวอักเสบแล้ว ก็ยังส่งผลสะสมให้เกิดโรคมะเร็งผิวหนังในอนาคตได้เช่นกัน แต่ทว่าในความจริงเราเองไม่สามารถหลีกเลี่ยงแสงแดดได้ แต่ก็จะต้องขอแนะนำเลยว่าป้องกันด้วยการหลีกเลี่ยงแสงแดดจัดในช่วงเวลาตั้งแต่ 10 โมงเช้า ถึง บ่าย 3 โมงเย็น แต่สำหรับในปัจจุบันแล้วแดดอาจจะจัดไปถึงช่วงเวลา 4 – 5 โมงเย็นเลยทีเดียว อีกทั้งการใส่หมวก หรือ พกร่ม เสื้อแขนยาว ก็จะช่วยให้คุณลดอันตรายจากแสงแดดได้ในระดับหนึ่งเลย 

2.ทาครีมกันแดด อย่างสม่ำเสมอ 

ครีมกันแดด คือ อีกหนึ่งเครื่องสำอางบำรุงผิวที่กลายเป็นหนึ่งในไอเทมสำคัญ สำหรับคุณผู้ชาย กับ คุณผู้หญิงไปแล้ว เพราะว่าเจ้าครีมกันแดดนี่แหละ จะช่วยปกป้องผิวจากรังสียูวีที่อยู่ในแสงแดด รวมทั้งมลภาวะต่าง ๆ ที่ร่างกาย หรือ ผิวหน้าได้รับ ไม่ว่าจะเป็น แสงสีฟ้า หรือ ฝุ่น ควัน ก็จะช่วยเป็นหนึ่งในเกราะป้องกันสิ่งเหล่านั้น ไม่ให้มาทำร้ายผิว สำหรับใครที่ไม่เคยใช้ครีมกันแดดเลย อาจจะเกิดฝ้าฝังลึกจนยากที่จะรักษาในอนาคตด้วยนั่นเอง แน่นอนเลยว่า ครีมกันแดด จำเป็นจะต้องทาทุกวัน หรือ ทุกกิจกรรม ถึงแม้ว่าไม่ได้ออกจากบ้าน ก็ยังมีแสงสีฟ้า พร้อมกับ รังสียูวีที่เข้ามากระทบได้จากทุกที่ ซึ่งการเลือกครีมกันแดด ก็จะต้องเลือกค่า SPF50 ขึ้นไป พร้อมกับ PA++++ จะเป็นค่าที่ดูแลผิวของเราได้อย่างดีที่สุด หากคุณไม่รู้ว่าจะทาครีมกันแดดแบบไหนดี คุณอาจสนใจบทความนี้ รีวิวกันแดดทาหน้ายอดนิยม

3.เลือกครีมบำรุงผิวให้ดี 

ไม่ว่าจะเป็นผิวหน้า หรือ ผิวกาย ก็ต้องการการดูแลใส่ใจ การเลือกครีมบำรุงผิวที่เหมาะกับผิว จะช่วยให้ผิวดูชุ่มชื้น อีกทั้งการเลือกครีมที่ไม่มีส่วนผสมของ แอลกอฮอล์ กับ น้ำหอม ก็จะช่วยให้ผิวของคุณห่างไกลฝ้าได้มากขึ้นเช่นเดียวกัน การใช้ทาผิวอย่างสม่ำเสมอ ก็จะช่วยบำรุงผิวให้เรียบเนียน ดูสุขภาพดีได้นั่นเอง 

4.ดูแลสุขภาพ ด้วยอาหาร

หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่มีส่วนทำร้ายร่างกายทางอ้อม รวมทั้ง ควันบุหรี่ ที่มีสารเคมีที่ทำร้ายผิวได้ด้วยเช่นเดียวกัน นอกจากนั้นแล้วยังส่งผลต่อสุขภาพร่างกายในอนาคตด้วย ดังนั้นการเลือกทานอาหารจึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะป้องกันการเกิดฝ้าด้วยเช่นกัน เพราะการรับประทานอาหารครบ 5 หมู่ รวมทั้งการบำรุงไปด้วยผัก ผลไม้ ที่มีวิตามินซี อี เอ ที่จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง ผิวแข็งแรง ก็จะเกิดฝ้าขึ้นได้ยาก ด้วยสารต้านอนุมูลอิสระก็จะช่วยให้ริ้วรอยเกิดยาก ซึ่งสุขภาพดีก็มาจากอาหารด้วยส่วนใหญ่ ดังนั้นการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์จะช่วยให้คุณห่างไกลฝ้า และ โรคภัยอื่น ๆ ได้นั่นเอง 

5.การออกกำลังกาย ความเครียด 

อีกหนึ่งวิธีป้องกันที่จะช่วยให้ร่างกายแข็ง ห่างไกลฝ้า ถึงแม้ว่าจะเป็นวิธีอ้อม ๆ ที่อาจจะถูกมองว่าเน้นไปทางผลลัพธ์ทางร่างกายแข็งแรงมากกว่า แต่เชื่อหรือไม่ว่าการออกกำลังกายจะช่วยให้สุขภาพภายในของร่างกายดี ส่งผลให้มีผิวพรรณที่เรียบเนียน เปล่งปลั่ง การทำงานของระบบภายในร่างกายปกติ ลดความเครียด วิตกกังวล มองโลกในแง่ดี ซึ่งใครที่มีภาวะความเครียดเกิดขึ้น ต้องบอกเลยว่าจะมีแต่โรคภัยเข้ามารุมเร้าในช่วงที่ร่างกายกำลังอ่อนแอแน่นอน ดังนั้นการออกกำลังกายควรจะเกิดขึ้นอย่างน้อยวันละ 30 นาที ส่วนความเครียด ใครที่เป็นอยู่ก็ต้องมองหาเรื่องผ่อนคลายทำ เช่น ออกไปเที่ยว หรือ ทำกิจกรรมคลายเครียด 

สำหรับวิธีการป้องกัน จะสอดคล้องกับการรักษา ไม่ว่าคุณเองจะทำการรักษาอยู่หรือไม่ พฤติกรรมเหล่านี้ก็ควรจะต้องยึดเอาไว้เป็นตัวอย่างเพื่อไม่ให้ในอนาคตเป็นฝ้าบนผิวหน้า อีกทั้งยังเป็นวิธีที่ช่วยทำให้คุณมีสุขภาพดี ทั้งร่างกาย ผิวพรรณ อารมณ์ ซึ่งบอกเลยว่าเป็นข้อดีทั้งหมดถ้าหากว่าคุณเองสามารถทำตามได้ ชีวิตของคุณก็จะดีขึ้นตามไปด้วย ไม่ได้ลดฝ้าเพียงอย่างเดียว


เรียกได้ว่าปัญหาผิวหน้าเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับทุกคน เพราะคือจุดที่จะทำให้คุณมีความมั่นใจในการใช้ชีวิต ซึ่งไม่มีใครอยากให้ผิวหน้าตัวเองมีสิว หรือ กระ หรือ เป็นฝ้า เพราะจะทำให้สุขภาพจิตย่ำแย่ตามไปด้วย แน่นอนเลยว่าการดูแล ป้องกัน ด้วยวิธีการที่พวกเราได้รวบรวมข้อมูลมาแนะนำกันในบทความข้างต้น ถือได้ว่าเป็นเรื่องที่ไม่ยาก แต่จำเป็นจะต้องใช้วินัยสูงในการดูแลรักษาตัวเอง การป้องกัน การบำรุงผิวที่สม่ำเสมอ จะช่วยให้คุณมีผิวพรรณที่ดี ไม่เป็นฝ้า พวกเราเชื่อเลยว่า 7 วิธี รักษาฝ้าด้วยวิธีธรรมชาติ รวมทั้ง สาเหตุ กับ วิธีป้องกันฝ้า จะช่วยให้คุณเข้าใจภาวะนี้มากขึ้น เพราถึงแม้ว่าจะไม่ได้ร้ายแรงถึงแก่ชีวิต แต่ก็เป็นอีกหนึ่งภาวะที่รักษาให้หายยาก พร้อมทั้งเกิดความวิตกกังวล สุดท้ายนี้ถ้าอยากให้สุขภาพแข็งก็ต้องดูแลตัวเองให้ดี ออกกำลังกายสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย และ ลดความเครียด แล้วชีวิตจะดีขึ้น 


อ้างอิงจาก

5 วิธีรักษาฝ้าแบบธรรมชาติ หน้าเนียนใส หายขาดได้แน่นอน (trueid.net)

6 สูตรรักษาฝ้าจากธรรมชาติ เนรมิตหน้าใส อวดความมั่นใจอีกครั้ง (sanook.com)

8 สูตรรักษาฝ้า กระ จากธรรมชาติ ปลอดภัยและได้ผลจริง – sophistmedic

บอกต่อ! 6 อันดับ ครีมทาฝ้า รักษาฝ้า กระ จุดด่างดำ เห็นผลจริงและเร็วที่สุด (sistacafe.com)

รูขุมขนกว้างทําไงดี ? รวมวิธีบำรุงและดูแลให้ใบหน้ากระชับขึ้น

รูขุมขนกว้างทําไงดี ? รวมวิธีบำรุงและดูแลให้ใบหน้ากระชับขึ้น

ปัญหาเรื่องผิวถือว่าเป็นเรื่องของความมั่นใจในการใช้ชีวิตในประจำวัน ในหลายคนจึงให้ความสำคัญในการดูแลบำรุงผิวเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะผิวกายหรือผิวหน้า และอีกหนึ่งปัญหาที่คุ้นเคย ไม่ว่าจะยุคไหนหรือวัยใดคือปัญหาเรื่องรูขุมขนกว้าง ซึ่งเกิดได้บ่อยมาก ๆ แม้ว่าจะไม่ได้มีโทษหรือสร้างความเจ็บปวด แต่หลายคนก็สูญเสียความมั่นใจไปเลยก็มี วันนี้เราเลยจะพามาไขข้อข้องใจ รูขุมขนกว้างทําไงดี พร้อวิธีบำรุงและดูแลให้ใบหน้ากระชับขึ้น


แล้วรูขุมขนกว้าง ทำไงดี ? สาเหตุเกิดจากอะไรกันแน่

รูขุมขนกว้างทําไงดี

เคยสังเกตตัวเองไหมว่า เมื่ออายุยังไม่เข้าสู่วัยรุ่นหรือช่วงวัยรุ่นตอนต้น ผิวของเราทุกคนเรียบเนียบและไม่มีรูขุมขนขรุขระเลย จนกระทั่งฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงและสภาพผิวที่เปลี่ยนไป และเมื่ออายุ 20 ปีขึ้นไปรูขุมขนก็มีโอกาสขยายใหญ่ขึ้นได้อีกตามธรรมชาติ! แค่ฟังก็น่าตกใจแล้วใช่ไหม แล้วยังมีอีกสาเหตุอื่นอีกไหมที่เป็นต้นตอของเจ้ารูขุมขน มาดูกันเลยดีกว่า

เกิดจากพันธุกรรม เป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เพราะสายพันธุได้ส่งต่อกันมา การรักษาทำได้เพียงให้ขุมขนไม่ขยายใหญ่ไปมากกว่านี้

ฮอร์โมนในร่างกาย โดยเฉพาะช่วงวุยแตกหนุ่มสาวที่มีการผลิตฮอร์โมนมากจำนวนมาก หน้าจึงผลิตน้ำมัน (เซบัม) มากเกินไป ทำให้ผิวต้องการขับความมันออกมาจากรูขุมขนและทำให้รูขุมขนขยายใหญ่อย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก

ผู้มีปัญหาสิว แน่นอนว่าสิวเกิดจากไขมันในรูขุมขนอุดตัน อาจจะเป็นทั้งจากฮอร์โมน หรือสิ่งเร้าต่าง ๆ เมื่อสิวเกิดขึ้นไม่ว่าจะสิวอักเสบ สิวผด สิวเสี้ยน การที่ไขมันอุดตันผสมกับเซบัมส่วนเกินบนใบหน้า หากไม่ได้รับการรักษาสิวอย่างถูกวิธีและต่อเนื่อง ผิวก็สามารถเกิดรูขุมขนกว้างอย่างถาวรได้เช่นกัน

สภาพอากาศ แต่ละคนมีผิวหน้าที่ต่างกัน สภาพอากาศรอบตัวก็เป็นสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดรูขุมขนได้ เช่น สภาพอากาศหนาวเย็น ทำให้ผิวแห้งง่าย หากได้ระบความชุ่มชื้นไม่มากพอก็จะหน้าแห้ง เกิดรูขุมขนกว้าง หรือ สภาพอากาศที่ร้อนจัดเหงื่ออกบ่อย ร่างกายขับน้ำมันเซบัมออกจากผิวทำให้รูขุมขนขยายระบายนำมันและความร้อน เป็นต้น

สภาวะด้านจิตใจ ความเครียด หลายคนคงสงสัยว่าความเครียดเกี่ยวข้องได้อย่างไร เราจะมาไขข้อสงสัยกันที่นี่ ความเครียดหรือ Cortisol คือ ฮอร์โมนความเครียดของร่างกาย เมื่อเกิดความเครียด ร่างกายจะผลิตคอร์ติซอลเป็นจำนวนมากส่งผลให้ไปกระตุ้นการสร้างน้ำมันบนร่างกาย โดยเฉพาะใบหน้าของเรา
ดูแลผิวอย่างไม่เหมาะสม กล่าวคือการขัดผิวที่มากเกินไป หรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะกับสภาพผิว จนเป็นสาเหตุให้ผิวอ่อนแอ เกิดรูขุมขนอุดตัน หรือผลัดผิวมากเกินไปแต่ขาดความชุ่มชื้นจนเกิดอาการแสบแดง

ทำความสะอาดได้ไม่หมดจดพอ ปัญหานี้เกิดขึ้นได้กับผู้ที่ล้างหน้าไม่สะอาด ล้างเพียงน้ำเปล่า ล้างเครื่องสำอางค์ไม่หมดหรือนอนทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เช็ดเครื่องสำอางค์ จนเกิดสภาวะไขมันอุดตันบนใบหน้า

ไม่ใช้ครีมกันแดด การโดนแสงแดดประจำโดยขาดการป้องกัน ทำให้ชั้นผิวอิลาสตินเสื่อมลง นั่นหมายความว่าคอลลาเจนในผิวก็จะเสื่อมลงไปด้วย ทำให้ผิวเหี่ยวแห้ง หย่อยคล้อย รูขุมขนกว้าขึ้นเพราะการทำงานของคอลลาเจนที่สะสมไว้ใต้ชั้นผิวลดลง ฉะนั้นอย่าลืมทาครีมกันแดดรองพื้นปกปิดเพื่อป้องกันแสงยูวีทำร้ายผิวหนัง รวมถึงยังสามารถช่วยปกปิดรูขุมขนได้อีกด้วย

ไม่ใช้ครีมบำรุงผิว ไม่จำเป็นต้องเป็นเซรั่มหรือโทนเนอร์ราคาแพง การที่ผิวได้รับความชุ่มชื้นจากมอยซ์เจอร์ไรเซอร์เป็นเรื่องพื้นฐานของผิวที่ดีและมีน้ำ


12 วิธีกระชับรูขุมขน ให้ใบหน้าเนียนใสยิ่งขึ้น

รูขุมขนกว้างทําไงดี

ถึงแม้ว่าสาเหตุที่กระตุ้นการเกิดรูขุมขนกว้างนั้นมีมากมาย หรือใครที่มีรูขุมขนกว้างแล้วก็ตามจงอย่าได้เสียใจไป เพราะเรามีสารพัดวิธีกระชับรูขุมขนให้กลับมาเล็กลงอย่าแน่นอน

1.รักษาความสะอาด

ไม่ว่าจะชำระล้างร่างกายหรือใบหน้าควรใช้เวลาฟอกถูนำสิ่งสกปรกออกไปให้หมด สำหรับคนที่แต่งหน้าควรทำการดับเบิ้ลคลีนซิ่ง (Double Cleaning) ด้วยผลิตภัณฑ์เช็ดเครื่องสำอางค์ตามที่คุณประสงค์ เพื่อให้คราบเครื่องสำอางค์ชะล้างออกไปให้ได้มากที่สุด ก่อนที่จะล้างหน้าด้วยคลีนซิ่งโฟมหรืออื่น ๆ ตามปกติ และควรล้างอย่างเบามือ ไม่ขัดถูแรงจนเกินไป

2.ไม่ล้างหน้าบ่อยเกินไป

ควรล้างวันละ 2 ครั้งเท่านั้นจึงจะพอดี เป็นการล้างหน้าแบบถูกวิธี เพราะยิ่งล้างออกมากก็ยิ่งกระตุ้นให้ต่อมรูขุมขนกระตุ้นผลิตน้ำมันออกมากปกป้องรักษาความชุ่มชื้นบนใบหน้า ฉะนั้นแล้วหากคุณเหงื่อไหลออกมากแนะนำว่าให้ซับออกก็เพียงพอ แล้วฉีดสเปรย์น้ำแร่ในบางท่านที่ต้องการความเย็นชุ่มฉ่ำ

3.ใช้โทนเนอร์ปราศจากแอลกอฮอล

ในสภาพผิวหน้าของบางคนมีความมันมากเกินไป โทนเนอร์จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะช่วยกำจัดความมันก่อนเตรียมลงผิวในขั้นตอนต่อไป หลีกเลี่ยงส่วนผสมที่มีแอลกอฮอลจัดเพราะว่ายิ่งทำให้ผิวหน้าระคายเคืองและเกิดสิวขึ้นได้

4.ใช้ครีมบำรุงผิวให้ถูกกับสภาพผิวหน้า

คือการเติมน้ำให้กับผิวนั่นเอง หลายคนที่ผิวมันอาจจะขัดใจว่าผวมันแล้วไม่จำเป็นต้องใช้ครีมบำรุงเพิ่มน้ำ เป็นความคิดที่ไม่ถูกต้องนัก เพราะไม่ว่าสภาพผิวใดต่างก็ต้องการความชุ่มชื้น และแต่ละผิวต้องการเนื้อครีมที่แตกต่างกันจึงต้องเลือกใช้ครีมให้เหมาะกับผิวหน้าจึงจะสามารถช่วยบำรุงได้อย่างถูกจุด

  • ผิวมัน ใช้มอยซ์เจอร์ไรซ์เซอร์ประเภทเนื้อเจลหรือโลชั่นเนื้อบางเบา จะลงการอุดตันของผิวได้
  • ผิวแห้ง ใช้มอยซ์เจอร์ไรซ์เซอร์ประเภทเนื้อครีม แต่ควรมีการวอร์มอัพที่ฝ่าก่อนลงบนใบหน้าจะดีที่สุด จากนั้นใช้ฝ่ามือที่มีครีมแปะลงบนผิวหน้าให้ทั่วอย่างบางเบา
  • ผิวผสม ใช้มอยซ์เจอร์ไรซ์เซอร์ประเภทเนื้อเจลหรือเนื้อครีมก็ได้

5. ใช้ครีมกันแดดเป็นประจำ

นอกจากความชุ่มชื้นแล้ว ผิวยังต้องการเกราะป้องกันอีกชั้นจากแสงแดด ขึ้นชื่อว่าแสงแดดเป็นศัตรูธรรมชาติร้ายกาจที่ทำลายชั้นผิวของเราได้อย่างรุนแรง ดังนั้นหลีกหลีกผิวมันและแห้งกร้านจากรังสียูวีที่เป็นสาเหตุรูขุมขนกว้าง แนะนำให้ทาครีมกันแดดทุกวัน อย่างน้อย SFP 30 PA++++ และทาซ้ำทุกๆ 3-4ชั่วโมง

6. ลดการรับประทานของทอด

น้ำมันเยิ้ม และอาการเค็มจัด ของทอดกรอบน้ำมันเยิ้มตั่งต่าง นอกจากจะทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นแล้ว ยังมีความสัมพันธ์กับความมันบนใบหน้าอีกด้วย ดังนั้นการรับประทานอาหารที่เกี่ยวข้องกับภายในสำคัญมาก ถ้าหากสุขภาพลำไว้และภายในดี ผิวก็จะเปล่งปลั่งสุขภาพดี คอลลาเจนในร่างกายยังทำงานได้ดี ทำชะลอการเกิดรูขุมขนกว้างเมื่ออายุที่มากขึ้น

7. เลือกเครื่องสำอางค์ประเภทปราศจากน้ำมัน

โดยเฉพาะคนที่มีผิวหน้ามัน ผลิตภัณฑ์ประเภทออยล์เบส (Oil based) ยิ่งเสี่ยงรูขุมขนอุดตันมากยิ่งขึ้นแม้ว่าจะเคลมว่าเนื้อสัมผัสเบาบางและออร์แกนิคมากเท่าไร เนื้อสัมผัสนั้นยังคงเป็นน้ำมันอยู่ดี หากให้แนะนำ ใช้เป็นแป้งรองพื้นที่ควบคุมความมันที่มีส่วนผสมของ Licorice Extract, EGCG (Green Tea Extract), Vitamin B6 (Pyridoxine Hydrochloride), Zinc PCA, Bakuchiol, Copper PCA, Methylsulfonylmethane, Ammonium Glycyrrhizate, Salicylic Acid และ Silicone จะดีกว่า ทริคเพิ่มเติมเกี่ยวกับซิลิโคน (Silicone) ว่าไม่ได้เป็นสารอันตราย หรือกระตุ้นเกิดสิวแต่อย่างใด แต่เจ้าสารเคมีตัวนีจะช่วยกักเก็บน้ำล็อคผิวไว้นั่นเอง

8. ออกกำลังกาย

การออกกำลังกายเป็นยาวิเศษที่ไม่มีราคาต้องจ่าย เมื่อร่างกายได้ออกแรง ทำให้หัวใจสูบฉีดเลือดหมุนเวียนร่างกายได้ดีมากขึ้น เลือดที่หมุนเวียนในบริเวณใบหน้าก็ยิ่งดีมากขึ้นและมีเลือดฝาด รูขุมขนกระชับ และหน้าใสเปล่งประกาย

9. นอนพักผ่อนให้เพียงพอ

เมื่อร่างกายของคุณได้ฟื้นฟูอย่างเต็มที่ ใบหน้าที่ล้าโ?รมก็จะไม่ปรากฏให้เห็นอีกต่อไป เวลานอนนั้นสำคัญเพราะเกี่ยวข้องกับระบบภายในและระบบฮอร์โมนอย่างชัดเจน จะสังเกตได้ว่าเมื่อเวลานอนน้อยคุณจะไม่สดชื่น หิวบ่อย ใบหน้าซีดเซียว ฮอร์โมนที่ทำงานได้ไม่ดีจะส่งผลให้สุขภาพผิวแย่และเกิดการสร้าน้ำมันเซบัมเกินความจำเป็น (เพราะร่างกายเกิดควาวมเครียดและอ่อนล้า) เกิดรูขุมขนกว้างขยายใหญ่ขึ้นตามมาอย่าหลีกเลี่ยงไม่ได้

10. ดื่มน้ำเป็นประจำ

น้ำเป็นสื่งที่หล่อเลี้ยงร่างกายให้สมดุล ดังนั้นหากดื่มน้ำไม่เพียงพอก็สามารถเกิดหลายอาการ เช่น เลือดหมุนไหลเวียนได้ไม่ดี ท้องผูก ผิวแห้ง ไตทำงานาหนักขึ้น อาการต่าง ๆ เหล่านี้เป็นจุดก่อเกิดรูขุมขนที่กว้างบนใบหน้าตามมา ดังนั้นควรดื่มน้ำไม่เกินวันละ 3 ลิตร หรือพยายามจิบน้ำบ่อยให้ได้มากที่สุด เพื่อรักษาความชุ่มชื้นในร่างกายและความดันเลือดอย่างสม่ำเสมอ

11. รับประทานคอลลาเจน

คอลลาเจนไม่ได้ช่วยเพียเรื่องผิวขาวสวยอย่างเดียว แต่รูขุมขนจะกระชับขึ้นเพราะร่างกายได้รับคอลลาเจนได้ปริมาณที่สมควรได้รับและคอลลาเจนส่วนใหญ่ก็จช่วยสร้างสายใยโปรตีนที่เป็นพื้นฐานของการผลิตคอลลาเจนในร่างกายอีกด้วย

12. พิโค่เลเซอร์ (Pico Laser)

เทคโนโลยีล่าสุดและได้ผลไวที่สุดแม้จะต้องแลกการความเจ็บสักเล็กน้อย โดยจะเป็นคลื่น Alexandrite 755 นาโนเมตร (nm) ทำให้เม็ดสีเกิดการสั่นสะเทือนระดับสูง ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ผิวหนัง ทำให้รูขุมขนกระชับอย่ารวดเร็ว แต่อย่างไรก็ดีควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำทุกครั้ง


สรุปได้ว่ามีปัจจัยหลากหลายสาเหตุที่กระตุ้นให้เกิดรูขุมขนกว้าง ไม่ว่าจะพันธุกรรม อาหาร สภาพอากาศ สภาพผิวหรือผลิตภัณฑ์บำรุงใบหน้าที่ใช้เป็นประจำ ดังนั้นเมื่อเราที่มาและสาเหตุกระตุ้นต่าง ๆ ก็จะหลีกเลี่ยงรูขุมขนที่กว้างขึ้นได้เป็นอย่างดี เริ่มตั้งแต่อาหารการกิน การใช้ชีวิตประจำให้ระมัดระวังมากขึ้น และในสำหรับคนที่ใจร้อนแต่ไม่ร้อนเงิน ในปัจจุบันก็มีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าทำให้เนรมิตรูขุมขนให้จางหายไปในเวลาอันสั้นอย่างง่ายดาย


ที่มา

https://aedit.com/concern/large-pores
https://www.aad.org/public/everyday-care/skin-care-secrets/face/treat-large-pores